
คราบเลือดมัดหนุ่มรฟม.ฆ่าหั่นจู๋เพื่อน
29 มิ.ย. 2557
คราบเลือดเปื้อนพวงมาลัยรถ มัดหนุ่มรฟม.ฆ่าหั่นจู๋เพื่อนร่วมงาน : คลี่ปมปริศนา CSI THAILAND : โดย...ทีมข่าวอาชญากรรม
เช้าตรู่วันที่ 12 มกราคม 2550 พนักงานบริษัทรถไฟฟ้ากรุงเทพจำกัด (มหาชน) หรือ รฟม. ต้องพากันขวัญผวา เพราะเมื่อเข้าไปภายในห้องควบคุมระบบอาคารของบีเอ็มซีแอล ย่านถนนพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ต้องพบกับร่างไร้วิญญาณของ นายพิชัย ทองใบ วัย 29 ปี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคของบริษัท นอนเสียชีวิตอยู่ในสภาพชวนสยดสยอง
พนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง ประสานตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน และแพทย์นิติเวช เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุหลังการพบศพไม่นาน พบว่า ผู้ตายถูกคนร้ายใช้มีดฟันเข้าที่ท้ายทอย 2 แผล กลางศีรษะ 1 แผลลึกถึงกะโหลก ขณะที่ศีรษะด้านขวาถูกฟัน 1 แผล เช่นเดียวกับที่หางคิ้วขวาอีก 1 แผล บริเวณลำคอถูกปาดจนเกือบขาด ที่มือถูกฟันเป็นแผลเหวอะหวะ
จากสภาพบาดแผลผู้ตาย พบว่า อาวุธที่คนร้ายใช้ลงมือ น่าจะเป็นมีดขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักและความคม สาเหตุการฆาตกรรมน่าจะมาจากเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่การฆาตกรรมชิงทรัพย์ เพราะทรัพย์สินมีค่ายังอยู่ครบ ขณะที่สภาพศพที่ปรากฏ ชี้ได้ว่าคนร้ายน่าจะมีความโกรธแค้นผู้ตายอย่างมาก โดยนอกจากจะใช้ของมีคมกระหน่ำฟัน รวมถึงลงมือปาดคออย่างโหดเหี้ยมแล้ว ยังใช้เลือดเขียนเป็นรูปหัวใจไว้ที่กลางหน้าอกของศพ รวมทั้งยังใช้ของมีคมตัดอวัยวะเพศจนเกือบขาด โดยศพนอนหงาย สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว สวมกางเกงขายาวสีน้ำเงิน จากสภาพศพที่เห็นคาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ชั่วโมง
พล.ต.ต.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น รอง ผบช.น. (ยศและตำแหน่งขณะนั้น) ซึ่งรับผิดชอบงานด้านสืบสวนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล เข้ามาควบคุมสั่งการตำรวจชุดคลี่คลายคดีดังกล่าวด้วยตนเอง โดยตำรวจชุดนี้เป็นการผนึกกำลังทำงานกันระหว่างชุดสืบสวนของ กก.สส.บก.น.1 ซึ่งมี พ.ต.อ.คณิศร์ชัย มหินทรเทพ เป็นผกก. ขณะที่ สน.ห้วยขวาง มี พ.ต.อ.ทรงพล วัธนะชัย เป็น ผกก.
ตำรวจได้ตรวจสอบภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิด เพื่อหาเบาะแสของคนร้าย แต่ปรากฏว่าข้อมูลถูกลบไปก่อนหน้านั้นไม่นาน จึงสงสัยว่าคนร้ายรายนี้อาจเป็นพนักงานด้วยกันเอง เนื่องจากรู้ระบบการจัดเก็บข้อมูลภาพวงจรปิด และสามารถเข้า-ออก อาคารเกิดเหตุได้ เพราะหากเป็นบุคคลภายนอกจะไม่สามารถเข้าไปในอาคารเกิดเหตุได้ เนื่องจากมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา และใช้คีย์การ์ดในการเปิด-ปิดประตูเข้า-ออกอาคาร
ชุดสืบสวนได้ประสานผู้เชี่ยวชาญเพื่อดำเนินการกู้คืนข้อมูลภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดอย่างเร่งด่วน ขณะที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานได้เก็บรวบรวมวัตถุพยานในที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะลายนิ้วมือแฝง รอยเท้า และดีเอ็นเอ ซึ่งปรากฏว่าพบลายนิ้วมือแฝงซึ่งคาดว่าเป็นของคนร้ายปรากฏอยู่ในที่เกิดเหตุจำนวนมาก
ตำรวจได้เชิญตัวพนักงานของบริษัทซึ่งต้องทำงานภายในอาคารแห่งนี้มาสอบถามจำนวนกว่า 10 คน แต่ไม่พบว่ามีใครให้การมีพิรุธ มีเพียง นายประเสริฐ หรือกฤษฎาพร บรรพชาติ หรือ เก่ง วัย 32 ปี ซึ่งทำงานอยู่ในแผนกเดียวกันกับผู้ตายหายตัวไป หลังเกิดคดีฆาตกรรมนายพิชัย
ข้อมูลการสอบสวนทราบว่า นายประเสริฐเพิ่งย้ายแผนกมาทำงานในห้องควบคุมอาคารประมาณ 4 เดือน แต่มีหน้าที่ในการควบคุมระบบสำนักงานทั้งหมด รวมทั้งกล้องวงจรปิดด้วย และการขยายผลทำให้ทราบว่าก่อนหน้านี้ไม่นานผู้ตายมีเรื่องขัดแย้งกับนายประเสริฐอย่างรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องชู้สาว เพราะทั้งคู่ติดพันหญิงสาวคนเดียกัน แต่นายประเสริฐมีภรรยาอยู่แล้ว ก่อนผู้ตายเสียชีวิตได้นำเบอร์โทรศัพท์ของหญิงสาวรายนี้ไปให้ภรรยาของนายประเสริฐ ทั้งคู่จึงทะเลาะกันอย่างรุนแรง
ตำรวจสอบปากคำพนักงานของบริษัทรายหนึ่งทราบว่า ในคืนเกิดเหตุเห็นนายประเสริฐเข้าไปในห้องควบคุมกล้องวงจรปิด และเมื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่า ข้อมูลที่กล้องวงจรปิดบันทึกไว้ถูกลบไปในเวลา 19.00 น. วันที่ 11 มกราคม ก่อนพบศพประมาณ 10 ชั่วโมง ซึ่งสอดคล้องกับสภาพศพของผู้ตาย ที่คาดว่าเสียชีวิตในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน นายประเสริฐ จึงตกเป็นผู้ต้องสงสัย น่าจะมีส่วนรู้เห็นกับการตายของนายพิชัย จึงได้ติดตามไปยังบ้านพักของผู้ต้องสงสัยรายนี้ ซึ่งอยู่ในซอยสุภาพงษ์ 1 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กทม. แต่ไม่พบตัว
อย่างไรก็ตามมีพยานให้การเป็นประโยชน์ต่อคดีดังกล่าวอย่างยิ่ง โดยพยานรายนี้ ยืนยันว่า คืนก่อนเกิดเหตุนายประเสริฐ ได้นำบุตรชายไปฝากไว้ที่บ้านมารดา ย่านบางขุนเทียน ก่อนจะขับรถยนต์มิตซูบิชิ แบบสปอร์ต 2 ประตู พวงมาลัยซ้าย ทะเบียน 6ธ 86xx กรุงเทพมหานคร สีน้ำตาลทอง ซึ่งยืมเพื่อนมาขับ เพราะอ้างว่าจะเดินทางไปพบภรรยาที่ จ.จันทบุรี
ชุดสืบสวนตรวจสอบผู้ครอบครองรถยนต์คันนี้ กระทั่งทราบว่า ผู้ครอบครองมีบ้านพักอยู่ในย่านหนองบอน เขตประเวศ และได้ติดตามหารถยนต์คันนี้จนพบ แล้วนำส่งสำนักงานพิสูจน์หลักฐาน เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญด้านพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบหาร่องรอยเกี่ยวพันถึงคดีฆาตกรรมนายพิชัย
ปรากฏว่าพบคราบเลือดเปื้อนอยู่ที่พวงมาลัยรถยนต์คันนี้ จึงเก็บไปผ่านกระบวนการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ พบว่าตรงกันกับของนายพิชัย ตำรวจจึงเชื่อว่าผู้ต้องสงสัยรายนี้ เป็นฆาตกรที่ลงมือสังหารผู้ตายแน่ จึงขออำนาจศาลออกหมายจับ
หลังจากหลบหนีระยะหนึ่ง นายประเสริฐได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง เพราะทนแรงกดดันจากการถูกตำรวจติดตามจับกุมไม่ไหว ซึ่งหลังเข้ามอบตัว นายประเสริฐรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือสังหารผู้ตายจริง เพราะโกรธแค้นที่ผู้ตายด่าบุพการี
"ผมทะเลาะกับเขาเพราะมีเรื่องกันเนื่องจากก่อนหน้านี้มีกรณีสายล่อฟ้าบนอาคารหายไป ผมคิดว่าเขาเอาไปจึงทะเลาะกัน หลังจากนั้นเขาก็ด่าทอ เสียดสีผมมาเรื่อยๆ จนเกิดความแค้นสะสม ผมโดนเขาว่าแดกดันเสมอ อย่างบางทีเข้าเวรคู่กันนายพิชัยรับโทรศัพท์ก็จะพูดยั่วเย้าแดกดันว่าตอนนี้นั่งอยู่กับควายบ้าง นั่งอยู่กับหมาบ้าง วันเกิดเหตุมีคนโทรศัพท์มาอีก เขาพูดว่าอยู่กับลูกกะหรี่ ทำให้โมโหมาก จึงไปเอามีดทำสวนของคนสวนมาเก็บซ่อนไว้ในโต๊ะ แล้วฉวยโอกาสขณะนายพิชัยคุยโทรศัพท์เพลินๆ ใช้มีดฟันศีรษะจนนายพิชัยตกเก้าอี้ แล้วตามไปปาดคอซ้ำ จากนั้นหวังจะเอาเลือดมาเขียนที่หน้าอกเป็นภาษาอังกฤษ ว่า โลว์ไอเดีย แต่เขียนไม่เสร็จ จึงถลกกางเกงดึงอวัยวะเพศนายพิชัยออกมาเฉือน เพราะไม่ชอบคำพูดของนายพิชัยเกี่ยวกับผู้หญิง" นายประเสริฐ สารภาพ
ตำรวจได้ทำสำนวนส่งฟ้องผู้ต้องหารายนี้ฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา และพกพาอาวุธมีดไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เห็นพ้องตามนั้น ได้ยื่นฟ้องต่อศาล หลังการเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในชั้นศาลเป็นที่เรียบร้อย ศาลจึงมีคำพิพากษา ให้จำคุกนายประเสริฐ ตลอดชีวิต ปรับ 100 บาท ฐานพกพาอาวุธ คำรับสารภาพเป็นประโยชน์ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 25 ปี ปรับ 50 บาท พร้อมทั้งให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เงินค่าขาดไร้ผู้อุปการะ ค่าปลงศพ และอื่นๆ รวม 990,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี ให้แก่บิดาของผู้ตาย
คราบเลือดที่พบบริเวณพวงมาลัยรถยนต์คันที่นายประเสริฐใช้เป็นพาหนะในคืนวันเกิดเหตุ ถือเป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่สำคัญในคดีนี้ เพราะช่วยยืนยันได้ว่า นายประเสริฐ ต้องมีส่วนรู้เห็นกับการตายของนายพิชัย เมื่อนำไปรวมกับพยานหลักฐานอื่นๆ แล้วทำให้ฆาตกรรายนี้ดิ้นไม่หลุด
-------------------------
(คราบเลือดเปื้อนพวงมาลัยรถ มัดหนุ่มรฟม.ฆ่าหั่นจู๋เพื่อนร่วมงาน : คลี่ปมปริศนา CSI THAILAND : โดย...ทีมข่าวอาชญากรรม)