
คุยนอกกรอบ : ผู้จัดอีเวนท์ญี่ปุ่นตัวแม่
01 มิ.ย. 2557
คุยนอกกรอบ : ผู้จัดอีเวนท์ญี่ปุ่นตัวแม่ : เรื่อง...สินีพร มฤคพิทักษ์
แวดวงคนคลั่งไคล้ญี่ปุ่น โดยเฉพาะเด็กๆ และวัยรุ่น คงไม่มีใครไม่รู้จัก “คอสเพลย์”การแต่งกายเลียนแบบตัวการ์ตูนญี่ปุ่นที่ตนชื่นชอบ ซึ่งพวกเขาจะมีเวทีทำกิจกรรมอยู่เป็นระยะ
เชื่อหรือไม่ว่าคนเปิดเวทีนี้เมื่อสิบกว่าปีก่อน กระทั่งจัดเป็นงานต่อเนื่องและขยายอีกหลายเวที เป็นคนไทยที่จัดงานโดยควักกระเป๋าตนเอง บวกสปอนเซอร์ไทย (ใจดี) อีกสองราย
ไม่เคยมีบริษัทญี่ปุ่นเป็นสปอนเซอร์ !
ต้นเดือนพฤษภาคม ใครที่ผ่านไปแถวเซ็นทรัลเวิลด์ แล้วเห็นเยาวชนหญิงชายแต่งกายเลียนแบบตัวการ์ตูนญี่ปุ่นเดินกันให้ขวักไขว่ เขาและเธอเหล่านั้นแต่งกายมาร่วมงาน "ไทย-เจแปน อนิเม่ มิวสิก แอนด์ เฟสติวัล ครั้งที่ 4" (Thai-Japan Anime&Music Festival) ซึ่งจัดโดย บริษัท จี-ยู ครีเอทีฟ จำกัด ไมนิจิ อะคาเดมิค กรุ๊ป ด้วยการสนับสนุนของบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
ภายในงานมีการออกร้านต่างๆ ซึ่งเป็นกิจกรรมเกี่ยวกับญี่ปุ่น ศิลปินจากแดนปลาดิบบินตรงมาขับขานเพลงดังจากหนังการ์ตูนญี่ปุ่นสุดฮิตให้ฟัง การแสดงจากตัวการ์ตูน ขบวนพาเหรดของคอสเพลย์ การประกวดแข่งขัน Anime Song Lovers Contest ฯลฯ
ทั้งหมดเข้าชมฟรี !
ยุพเรศ เอกธุระประคัลภ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จี-ยู ครีเอทีฟ จำกัด เจ้าของและผู้ก่อตั้งโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นไมนิจิ สาวร่างเล็ก ผู้เป็นแม่งานใหญ่เล่าถึงที่มาของงาน ว่า เริ่มจากทางญี่ปุ่นอยากจัดคอนเสิร์ตหาทุนเพื่อช่วยสองญี่ปุ่นและไทย ผ่านเสียงเพลง ครั้งนั้นมีสึนามิ ตั้งใจเอาเงินไปช่วยเด็กที่โดนสึนามิและเด็กไทยด้อยโอกาส
“มองว่ามีมิวสิก อนิเม่ จากศิลปินญี่ปุ่นคงดี เยาวชนบ้านเราอยากทำอนิเม่ แต่ไม่มีโอกาส เมื่อมีเพลงการ์ตูนจากญี่ปุ่นมาแล้วน่าจะจัดกิจกรรมมิตรภาพ ไทย-ญี่ปุ่น จึงตั้งชื่อว่า “ไทย เจแปน อนิเม่ แอนด์ มิวสิก เฟสติวัล” ไม่ใช่ญี่ปุ่นอย่างเดียว แต่ต้องการให้คนไทยที่กำลังทำอนิเม่ด้วย...”
ยุพเรศมีโอกาสร่วมงานกับศิลปินครั้งแรก เนื่องจากศิลปินญี่ปุ่นที่ต้องการเปิดแสดงคอนเสิร์ตในเอเชียเริ่มที่ไทยเป็นประเทศแรก ซึ่งศิลปินที่มาถือเป็นระดับท็อปของประเทศ “อย่างวันนี้ที่มาคือคุณมิซึโกะ ผู้ร้องเพลง เซนต์ เซย่า, แคนดี้ แคนดี้ ได้รับฉายาว่า ราชินีแห่งเพลงการ์ตูนอนิเม่ ก็มาเมื่อปีแรก..เราเริ่มต้นด้วยคุณอิจิโร่ นักร้องเพลงการ์ตูนไอ้มดแดง ปีแรกเราได้ทั้งคิงและควีน ปีนี้กลับมาครั้งที่สอง ก็คิดว่าดีนะเลยตัดสินใจทำงานนี้”
ไม่เฉพาะงานไทย-เจแปน อนิเม่ มิวสิค แอนด์ เฟสติวัล ยังมี Japan Festa in Bangkok, J-Trends in Town, Nippon Fever Fest, Japan Culture Food Festival, J-Series Festival ทั้งหมดเป็นฝีมือเธอทั้งนั้น ขนาดว่าสถานทูตญี่ปุ่นยังขอเลี้ยงอาหารเพื่อขอบคุณ ในฐานะผู้เผยแพร่วัฒนธรรมญี่ปุ่น !
ชาวญี่ปุ่นเรียกเธอว่า สุดยอดผู้จัดอีเวนท์ญี่ปุ่นในไทย
นอกจากการเป็นออแกไนเซอร์จัดอีเวนท์ (ญี่ปุ่น) ธุรกิจหลักที่เธอก่อตั้งเมื่อ 15 ปีก่อนคือ โรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นไมนิจิ ซึ่งทำให้เธอรู้จัก “อนิเม่” เนื่องจากวันหนึ่งเด็กที่มาเรียนภาษาบอกว่าอยากคอฟเวอร์ แดนซ์
“ถามว่าคืออะไร เด็กตอบว่ายืนเต้น แล้วจะเอาอะไร? เด็กบอกไม่มีเครื่องเสียง ก็ซื้อเครื่องเสียงให้เครื่องหนึ่ง เด็กไปยืนเต้นแถวห้างมาบุญครอง ถามว่าใครดูเธอ? คนทั่วไป ไม่เข้าใจ แล้วก็เลยถามเขา สิบกว่าปีก่อนเราเป็นเจ้าหนึ่งที่เปิดคอฟเวอร์ตอนนั้นมี 15 วง เดี๋ยวนี้มีหลายร้อยแล้ว เราบอกเอายังงี้ พี่ซื้อเครื่องเสียงให้ ใครจะใช้มายืมที่โรงเรียน แล้วเราแปะโลโก้ไว้ข้างหลัง โรงเรียนอยู่สยาม คิดว่าใครจะมาดูเด็กเลยบอก เอ้าเดี๋ยวเปิดงานให้เธอเลย ชื่องานเจแปนเฟสต้า จะหาเงินยังไงนะ คิดไปคิดมาคุยกับทางผู้ผลิตหนังเกอิชาซึ่งกำลังจะเปิดตัวเขาบอกเอาสิ...
“มีเจร็อก อยากให้มีคัลเจอร์ด้วยก็ไปติดต่อสมาคมซูโม่ ตอนนั้นไม่มีปัญญาจ้างขอสปอนเซอร์ไม่เป็น มาบุญครองให้ใช้พื้นที่ จัดงานปีแรกมีคนมาดูสี่ห้าพันคน ตกใจมากทำไมมาเยอะ ฮึกเหิมปลายปีจัดอีกเอาศิลปินญี่ปุ่นมาให้ดูฟรี....จัดงานตั้งแต่หัวถนนมาบุญครองจนถึงสยามสแควร์ จัดได้สองปี เริ่มเหนื่อย...เคยไปขอสปอนเซอร์ธุรกิจรายหนึ่ง เขาพูดแล้วเราท้อ ไม่เข้าใจถามว่าจัดทำไม อินสไปเรชั่นฟังไม่ค่อยขึ้น จะทำวอลันเทียร์หรือ...พอจัดปีที่สองก็เอามหาวิทยาลัยสิบแห่ง ที่มีวิชาเอกญี่ปุ่น ให้น้องๆ นักศึกษามาออกบูธ เรามีเงินซัพพอร์ตให้ทำกิจกรรมเกี่ยวกับญี่ปุ่นโดยให้ธีมไป รอบนั้นคนมาชมเป็นหมื่นสะใจมาก"
เราวิ่งขอสปอนเซอร์บริษัทญี่ปุ่น เป็นสิบๆ บริษัทเลย ทุกคนรู้สึกว่าเราเป็นวอลันเทียร์ แต่คนที่ช่วยเราจริงๆ กลับเป็นบริษัทไทยคือ ไทยประกันชีวิต กับ ปตท. ถ้าไม่มีเขาก็ไม่มีวันนี้
ตอนนี้บริษัทญี่ปุ่นให้การสนับสนุนบ้างหรือยัง? เธอตอบว่ายังไม่มี แต่มีข่าวไปออกที่ญี่ปุ่นว่า ประเทศไทยมีงานญี่ปุ่นใหญ่มาก จัดโดยคนไทย ญี่ปุ่นเริ่มๆ ติดต่อมาว่า เจแปนเฟสต้าปีนี้จัดเมื่อไร เราก็..ผ่านมาสิบปีเริ่มถามแล้วใช่ไหม
กลับมาที่งานไทย-เจแปน อนิเม่ ปีนี้มีแข่งขันทำคลิปแอนิเมชั่น ความยาว 1 นาที หัวข้อ “เวลคัม AEC” เพราะปีหน้าเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ยุพเรศบอกว่า มีเด็กส่งเข้าประกวดเยอะมาก เธอเห็นว่าการจัดงานลักษณะนี้เป็นการสร้างโอกาส และเวทีให้แก่เด็กๆ เนื่องจากมีกิจกรรมให้พวกเขาได้แสดงออก เช่น คอสเพลย์พาเหรด การแสดงดนตรีจากวงเข้าประกวด การแข่งขันอนิเม่ ซอง เลิฟเวอร์ คอนเทสต์ เป็นต้น
“เด็กบางคนได้ไปเป็นนักร้อง พิธีกร อย่างเด็กที่มาเต้น ถามเด็กว่าเธอเอาเงินที่ไหนมา เด็กบอกไม่มี พอเด็กมาแสดง ก็มีคนมาทาบทามให้ไปร่วมงานด้วย”
อีเวนท์ใหญ่อีกงานคือ “เจแปน เฟสต้า” มหกรรมรวมพลคนรักญี่ปุ่น ซึ่งทุกคนตั้งตารอนั้นเธอเริ่มจัดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน
ส่วน J Trend in town จัดทุกวันเสาร์แรกของเดือนที่มาบุญครอง จัดมาสิบปีแล้วเช่นกัน, Nippon Fever Fest จัดทุกสองเดือน
อีเวนท์น้องใหม่อายุน้อยสุดคือ ไทย เจแปน อนิเม่
เพราะทุกอย่างที่จัดคือกิจกรรมเกี่ยวกับญี่ปุ่น มาวันนี้หน่วยงานของญี่ปุ่นจะจัดงานใดๆ จึงว่าจ้างบริษัทของเธอ ผลงานที่ผ่านมา อาทิ ฟู้ด เฟสติวัล รวมอาหารอร่อยของญี่ปุ่น อีกงานคือ เจ-ซีรีย์ เป็นการโปรโมทหนังและละครญี่ปุ่นล้วนๆ
เชื่อไหมว่าตอนที่ยุพเรศคิดเปิดโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นเมื่อ 15 ปีก่อน เธอพูดภาษานี้ไม่เป็นเลย และว่าสิบห้าปีก่อนเดินทางไปเจรจากับโรงเรียนสอนภาษาในญี่ปุ่น ไม่มีใครอยากคุยด้วย เพราะยุพเรศเจรจาเป็นภาษาอังกฤษ แต่ในที่สุดก็มีโรงเรียนแห่งหนึ่งในโตเกียวยอมส่งครูมาประจำที่ประเทศไทย 1 คน และค่อยๆ เติบโตมาหลายสาขาในปัจจุบัน
ยุพเรศเล่าว่า ช่วงนั้นส่งอีเมลเยอะมาก ขอเป็นตัวแทนในไทย ให้ส่งครูมาสอน ขอเป็นตัวแทนส่งนักเรียนมา ไปเยี่ยมโรงเรียน 20 แห่ง ถูกปฏิเสธหมด จนมีโรงเรียนหนึ่งยอมส่งอาจารย์ให้
“ทุกวันนี้โรงเรียนที่มาขอให้เราเป็นตัวแทนในไทย ยังจำไม่ได้เลยว่าเราเคยขอเป็นตัวแทนเขามาก่อน ตอนนี้เราเป็นตัวแทนนับร้อยแห่งแล้ว เราน่าจะเป็นเอเย่นต์ใหญ่สุดที่ส่งนักเรียนไปเรียนต่อญี่ปุ่น แต่ตอนนั้นไม่มีสักแห่งยอมให้เราเป็นตัวแทน”
ทำไมอยากเปิดโรงเรียน?
ตอนนั้นบ้านเรายังขาดโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นยังไม่มาก ส่วนตัวเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยมหิดลนานาชาติ เอกบริหารการโรงแรมการท่องเที่ยว อยากทำงาน พราะชอบญี่ปุ่น คิดว่าทำอะไรก็ได้เกี่ยวกับญี่ปุ่นก็เปิดโรงเรียน แต่พูดญี่ปุ่นไม่เป็น เปิดได้หนึ่งปี แต่เราพูดญี่ปุ่นไม่เป็นเลยตัดสินใจว่าควรเรียน ก็ไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น 1 ปี แล้วไปต่อปริญญาโทที่อังกฤษอีก 1 ปี นับจากนั้นทำงานไม่ได้หยุดเลย เหมือนชื่อโรงเรียน “ไมนิจิ” ซึ่งแปลว่า ทุกวัน
ถามถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้ชอบญี่ปุ่น ยุพเรศตอบว่า เป็นความทรงจำสมัยเด็กที่คุณแม่พาไปชมงานเอ็กซ์โป 85 ตอนนั้นอายุยังไม่ถึงสิบขวบ
“ไปเห็นประเทศนี้เจริญ อยู่ในเอเชีย เหมือนโลกอนาคต ประทับใจมาก ทำไมมันน่ารัก สะอาด รู้สึกอยากลับไปญี่ปุ่นๆ อีก พอเรียบจบ แค่คิดว่าทำเรื่องใดที่ถนัด และชอบ ไม่ว่าเรื่องใดทำให้สุดๆ ไปเรื่องหนึ่ง มีแต่คนบอกว่ามันเฉพาะ (niche) มาก เล็กมาก มันอยู่ที่เราจะใหญ่ในเรื่องเล็ก หรือเล็กในเรื่องใหญ่ เราเลือกทำเรื่องเล็กแต่ใหญ่ในเรื่องนั้นได้...”
--------------------------
ทำงานกับคนยุ่น ‘ต้องเป๊ะ’
แม่งานไทย-เจแปน อนิเม่ มิวสิก แอนด์ เฟสติวัล บอกว่าทำงานกับคนญี่ปุ่นไม่ยาก เพียงแต่ต้องเข้าใจธรรมชาติของชาวยุ่น ดังที่เธอบอกว่า การทำงานร่วมกับคนญี่ปุ่น คำพูดต้องมาก่อน ตรงต่อเวลา และต้องเป๊ะ
แม้ว่าไทยจะมีบริษัทออแกไนซ์จำนวนมาก แต่มีไม่กี่แห่งที่ทำงานร่วมกับคนญี่ปุ่นได้ ยุพเรศอธิบายว่า บางงานมีรายละเอียด ซึ่งเราเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็ก ไม่ต้องคิดมาก ออแกไนซ์บางแห่งคิดอย่างนั้น แต่ญี่ปุ่นไม่ได้ ต้องทำตามที่เขาบอก มีปัญหาต้องคุย อย่าให้เขาเซอร์ไพรส์หน้างาน ญี่ปุ่นไม่ชอบเซอร์ไพรส์ มีขั้นตอน 1, 2, 3 ต้องทำเรียงตามลำดับ จะทำ 1 แล้วโดดมา 3 ไม่ได้ ต้องทำ 2 ก่อน
อีกเรื่องที่เขาให้ความสำคัญคือการให้เกียรติซึ่งกันและกัน
“ปีแรกแผนกเครื่องเสียงงงมาก เวลาจัดงานเขาไม่เคยเจอศิลปินเดินมาขอบคุณ คนทำเครื่องเสียง ศิลปินเดินลงมาทำไม เขาเดินลงมาจับมือทุกคน บอกเดี๋ยวฉันกำลังจะซ้อม ฝากเนื้อฝากตัว ช่างเครื่องเสียงไม่เข้าใจ จับมือแล้วยังงงว่าจับทำไม คือเขาขอบคุณที่ดูแลเครื่องเสียงให้ได้มาซ้อม ขอบคุณทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ก่อนกลับก็มาโค้งขอบคุณอีก มันเป็นอะไรที่เรารู้สึกว่าเป็นการให้เกียรติคนเล็กๆ ทุกคน เวลาเราทำงานกับญี่ปุ่นต้องบอกว่า คนนี้เป็นสเตจแมเนเจอร์ คนนี้เป็นใคร เขาจะมาจับมือขอบคุณ
“คนทำงานกับญี่ปุ่นแล้วรู้สึกว่า..คือคนเราถ้าไม่เห็นสิ่งที่มันดี ไม่รู้ว่าอะไรคือดี พอเราเห็นก็นึกว่าแล้วที่ผ่านมาทำไมไม่มีคนขอบคุณฉัน ฉันก็สำคัญเหรอ มันทำให้ทุกคนอยากทำให้เขาไง นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าชอบทำงานกับญี่ปุ่น”
--------------------------
(คุยนอกกรอบ : ผู้จัดอีเวนท์ญี่ปุ่นตัวแม่ : เรื่อง...สินีพร มฤคพิทักษ์)