ข่าว

ปัญหาใหญ่ทะเลกัดเซาะชายหาดเจ้าสำราญ

ปัญหาใหญ่ทะเลกัดเซาะชายหาดเจ้าสำราญ

13 พ.ค. 2557

ทะเลกัดเซาะชายหาดเจ้าสำราญ ปัญหาใหญ่เกินกว่าเทศบาลจะแก้เองได้ : กัมปนาท ขันตระกูล ... รายงาน

 
                         "หาดเจ้าสำราญ” ตั้งอยู่พื้นที่ ต.หาดเจ้าสำราญ อ.เมือง จ.เพชรบุรี เป็นแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลที่มีชื่อของจ.เพชรบุรี ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเพชรบุรี ราว 15 กิโลเมตรและเป็นชายหาดที่เคยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมาแต่สมัยโบราณ มีประวัติเล่ากันมาว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เคยเสด็จมาที่นี่พร้อมด้วยสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงพอพระราชหฤทัยในความงามของชายหาดแห่งนี้มาก ทรงประทับแรมอยู่หลายวันจนชาวบ้านเรียกหาดนี้ว่า “หาดเจ้าสำราญ”
 
                         หาดแห่งนี้เจริญถึงขีดสุดในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เพราะเป็นหาดที่มีชื่อเสียงกว่าหาดอื่นๆ ในสมัยนั้น โดยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างค่ายหลวงขึ้นเรียกว่า "ค่ายหลวงบางทะลุ" ตามชื่อของ ต.บางทะลุ ที่เป็นที่ตั้งโดยมี "พระตำหนักบริเวณริมหาดแห่งนี้เรียกว่า “พระตำหนักหาดเจ้าสำราญ” ภายหลังทรงหายจากพระประชวร ทรงได้เปลี่ยนชื่อตำบลเสียใหม่ด้วยชื่อเดิมเห็นว่าไม่เป็นมงคล โดยเปลี่ยนเป็น ต.หาดเจ้าสำราญตามชื่อของหาด แต่ต่อมาทรงย้ายพระตำหนักไปยัง ต.ชะอำ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี หรือพระราชนิเวศน์มฤคทายวันในปัจจุบัน โดยหาดเจ้าสำราญเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีบรรยากาศเงียบสงบ อากาศเย็นสบายมีสัตว์ทะเลที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งปูเสฉวน หอย แมงกะพรุน อีกทั้งยังมีทรายละเอียดสวยงาม จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว แต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวปีละไม่ต่ำกว่า 2 แสนคน
 
                         แต่ภัยคุกคามหาดเจ้าสำราญในช่วงระยะเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา คือ ภัยจากน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง โดยทะเลได้กัดเซาะชายฝั่งของหาดเจ้าสำราญ ซึ่งอยู่ทิศตะวันตกของอ่าวไทยตลอดแนว ตั้งแต่ทิศเหนือของหาดที่รอยต่อต.แหลมผักเบี้ย อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี จนถึงสุดเขตทิศใต้ของหาดบริเวณรอยต่อกับ ต.หนองขนาน อ.เมืองเพชรบุรี ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร และกัดเซาะลึกเข้ามาในแนวชายหาดระยะทางประมาณ 100 เมตร รวมเนื้อที่กว่า 300 ไร่
 
                         “ผมเห็นน้ำทะเลกัดเซาะชายหาดเจ้าสำราญมาตั้งแต่สมัยผมยังเป็นเด็กๆ หรือประมาณ 40 ปีเศษมาแล้ว น้ำได้กัดเซาะเข้ามาถึงเสาพระตำหนักเดิมต้องรื้อศาลาหนี แต่ตอนนั้นได้แก้ปัญหาโดยการนำหินไปถมชายหาด ทำเป็นเขื่อนเพื่อป้องกันไม่ให้คลื่นทะเลกัดเซาะชายหาด” นายบุญยอด มาคล้าย นายกเทศมนตรีตำบลหาดเจ้าสำราญ กล่าว
 
                         ปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายหาดเจ้าสำราญ ได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตชุมชนและการท่องเที่ยวของหาดเจ้าสำราญ หากปล่อยให้น้ำทะเลกัดเซาะหาดโดยไม่มีการป้องกัน ก็จะทำให้หาดที่เป็นสถานที่สาธารณะเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวก็จะหมดไป อีกทั้งน้ำทะเลคงกัดเซาะเข้ามาถึงที่ดินและบ้านเรือนประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
 
                         ที่ผ่านมาผู้บริหารเทศบาลทุกสมัยไม่ได้นิ่งนอนใจได้พยายามแก้ปัญหามาตลอด แต่ติดปัญหาเรื่องงบประมาณของเทศบาลที่มีไม่เพียงพอ จึงต้องอาศัยงบประมาณจากส่วนกลาง โดยปี 2550 กรมการขนส่งทางน้ำ ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบได้ดำเนินการแก้ปัญหามาตลอด ได้จัดสรรงบประมาณ 219,900,000 บาท สร้างเขื่อนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งหาดเจ้าสำราญอย่างถาวร หรือวอเตอร์เบรกกันคลื่นนอกชายฝั่งทะเลจำนวน 15 เขื่อน โดยตัวเขื่อนแต่ละช่วงยาวประมาณ 120 เมตร พร้อมกับถมแนวชายหาดจำนวน 565,000 ลูก บาศก์เมตรและถมทรายเสริมแนวชายหาดเพิ่มอีก โดยการก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2552
 
                         หลังสร้างเขื่อนกันคลื่นแล้วเสร็จปัญหากัดเซาะชายหาดเจ้าสำราญไม่ได้หมดไป เพียงแต่ชะลอความรุนแรงลงเท่านั้น และรอบ 1 ปี พื้นที่หาดเจ้าสำราญจะมีทั้งช่วงที่ถูกกัดเซาะแผ่นดินพังลงทะเลและช่วงดินงอก แล้วแต่ว่าทิศทางลมจะไปทางไหน ซึ่งเทศบาลตำบลหาดเจ้าสำราญต้องปรับภูมิทัศน์ให้สวยงามเป็นประจำเมื่อมีทรายถมมาก ก็ตักออกเอาไปใส่ในส่วนที่หาย เพราะปกติหากช่วงทิศเหนือหาดถูกกัดเซาะจะมีพื้นที่งอกด้านใต้ และหากพื้นที่ด้านใต้หาดถูกกัดเซาะพื้นที่ด้านเหนือของหาดจะงอก ซึ่งเทศบาลต้องนำรถแบ็กโฮและรถไถ ทำการปรับแต่งปีละหลายครั้ง
 
                         “หลังจากสร้างวอเตอร์เบรกเสร็จปัญหาการกัดเซาะยังไม่หมดไปแต่ได้ชะลอลง การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าผมพยายามป้องกันตรงจุดชมวิวหาดเจ้าสำราญ ระยะทาง 300-400 เมตร รวมทั้งมีการขยายแนวหาดทรายให้กว้างขึ้น โดยใช้วิธีขุดหินในอดีตที่ทำเป็นเขื่อนป้องกันการกัดเซาะและหินได้ถูกน้ำกัดเซาะจมลงใต้ทราย และตอนที่ทำวอเตอร์เบรกมีหินตกอยู่ชายหาดและหินได้จมลงในทราย ผมนำแบ็กโฮขุดนำมาเรียงเป็นแนวเขื่อน ซึ่งป้องกันได้ระดับหนึ่ง ซึ่งการใช้วิธีป้องกันลักษณะนี้ใช้งบประมาณปีละไม่ต่ำกว่า 3 แสนบาท แต่เป็นการแก้ปัญหาชั่วคราว แต่หากไม่ทำหาดสาธารณะจะพังลงน้ำหมด จะไม่มีสถานที่ให้นักท่องเที่ยวมาพักผ่อน เนื่องจากที่สาธารณะพังลงน้ำ ที่ติดชายหาดก็จะเป็นของเอกชน ซึ่งรัฐคงเข้าไปพัฒนาไม่ได้” นายกเทศมนตรีตำบลหาดเจ้าสำราญ กล่าว
 
                         สำหรับการแก้ปัญหาระยะยาวคงทำได้ลำบากเนื่องจากใช้งบประมาณจำนวนมาก เทศบาลหาดเจ้าสำราญมีงบประมาณไม่เพียงพอ เพราะมีงบประมาณลงทุนปีละ 2,500,000 บาท เทศบาลจึงทำโครงการขอสนับสนุนงบประมาณจากกรมโยธาธิการและผังเมือง ทำเขื่อนป้องกันกัดเซาะชายฝั่งตามแนวชายฝั่ง วงเงิน 120,000,000 บาท ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาผลกระทบว่าเมื่อสร้างเขื่อนแล้วหาดทรายจะหายไปหรือไม่
 
                         “มีหลายคนแนะนำผมว่าให้สร้างเป็นสะพานหินหรือสะพานคอนกรีตยื่นเป็นตัวทีออกไปในทะเล ซึ่งผมไม่เห็นด้วยจะทำให้ความเป็นธรรมชาติของหาดเจ้าสำราญหายไปอีกทั้งอาจมีปัญหาหาดทรายอีกด้านหนึ่งงอก อีกด้านถูกกัดเซาะ ผมจึงเลือกสร้างแบบขนานกับชายฝั่งมากกว่า ตอนนี้กรมโยธาธิการและผังเมืองได้มาสำรวจแล้วอยู่ระหว่างการออกแบบ” นายกเทศมนตรีตำบลหาดเจ้าสำราญ กล่าว
 
                         ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งหาดเจ้าสำราญเป็นเรื่องเร่งด่วนที่หลายหน่วยงานต้องเข้ามาช่วยแก้ไข หากปล่อยให้เทศบาลตำบลหาดเจ้าสำราญแก้ไขเพียงลำพังคงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล อีกทั้งต้องช่วยหน่วยงานที่มีความรู้ความเข้าใจในการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง หากแก้ไม่ถูกทางแล้วปัญหาการกัดเซาะก็คงไม่หมด หรือหากปัญหากัดเซาะหมด แต่หาดทรายของหาดเจ้าสำราญหายไป กลายเป็นเขื่อนติดกับน้ำซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและวิถีชีวิตของคนหาดเจ้าสำราญอย่างมหาศาล
 
 
 
 
------------------------
 
(ทะเลกัดเซาะชายหาดเจ้าสำราญ ปัญหาใหญ่เกินกว่าเทศบาลจะแก้เองได้ : กัมปนาท ขันตระกูล ... รายงาน)