ข่าว

อาณาจักร 'ขนมหวาน' ของทายาทซาฟารีเวิลด์

อาณาจักร 'ขนมหวาน' ของทายาทซาฟารีเวิลด์

11 พ.ค. 2557

คุยนอกกรอบ : อาณาจักร 'ขนมหวาน' ของทายาทซาฟารีเวิลด์ : โดย...สินีพร มฤคพิทักษ์

 
                           งานของผมมีอย่างเดียวคือ ทำอย่างไรให้ลูกค้าเข้ามาแล้วมีความสุขกลับไป อันหนึ่งเป็นอาหาร อีกอันเป็นสถานที่ท่องเที่ยว จบวันคำตอบมีอย่างเดียว สำเร็จ ไม่สำเร็จ ลูกค้าเดินออกไปมีความสุขหรือเปล่า หากลูกค้ามีความสุขเราก็สำเร็จ 
 
 
                           คชา บราเธอร์ส จำกัด เป็นชื่อบริษัทที่ “ฤทธิ์  คิ้วคชา” ทายาทของ “ผิน คิ้วคชา” (ชื่อสกุลเดิมคือ ผิน คิ้วไผศาล ผู้ก่อตั้งซาฟารีเวิลด์ สวนสัตว์เปิดของเอกชน) ร่วมกับพี่ๆ น้องๆ เปิดขึ้นในปี 2549 เพื่อทำธุรกิจเกี่ยวกับไอศกรีมและของหวานสไตล์ญี่ปุ่นรวม 7 แบรนด์ ล่าสุดคือ PASTEL (แพสเทล)
 
                           คงไม่น่าแปลกใจนัก หากกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซาฟารีเวิลด์ จำกัด (มหาชน) จะให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับธุรกิจสวนสัตว์ แต่ในวันเปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ ฤทธิ์บอกว่าจะเป็นผู้นำด้านขนมหวานในประเทศไทย โดยตั้งเป้าว่าปี 2560 จะมีรายได้ 500 ล้านบาท จากธุรกิจไอศกรีมและขนมหวาน !
 
                           เป็นตัวเลขรายได้ครึ่งหนึ่งของซาฟารีเวิลด์ 
 
                           “ธุรกิจแรกคือสฟรี เป็นไอศกรีมปลอดไขมัน สาขาแรกใช้เงิน 5 ล้านบาท และเติบโตมาเรื่อย พอมีกำไรก็ลงทุนต่อ ธุรกิจเราเล็กแต่ตั้งเป้าไว้ใหญ่ ไม่งั้นคงไม่ทำ เพราะเรามีธุรกิจหลัก คือตั้งเป้าหมายไว้ทำแบรนด์ เราไม่ได้ทำร้านอาหารเล่นๆ ทำคือทำจริง นี่คือสิ่งที่คุณพ่อบอก เรามีงานหลักอยู่ มันต้องคุ้มค่าที่เจียดเวลามาทำ คือไปถึงไม่ถึง มันขึ้นกับจังหวะหลายอย่าง แต่มีโอกาสที่จะไปได้ วันแรกที่เปิดเรารู้ว่ามีโอกาสไปได้ 50 หรือ 100 สาขา ร้านอาหารและขนมตัวอย่างทั่วโลกมี แต่มันอาศัยทีละสาขา ตอนแรกคิดอย่างนี้ว่าหากเจ๊งถือว่าเป็นประสบการณ์จะได้เรียนรู้ เรามีสาขาที่เคยปิดไปแล้ว 2 แห่ง เปิดมา 37 สาขา ไม่ใช่สำเร็จหมด เราเรียนรู้จากตรงนั้น” 
 
                           ทายาทคนรองของครอบครัวคิ้วคชา เรียนจบปริญญาตรีด้านปริญญาตรีเกียรตินิยม สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ Imperial College of Science, Technology and Medicine, London U.K. ปริญญาโทสาขาวิชาบัญชีและการเงิน จาก The London School of Economics and Political Science, London U.K. และกลับมาทำงานด้านการเงินให้แก่ซาฟารีเวิลด์ตั้งแต่ปี 2548 
 
                           สำหรับ “คชา บราเธอร์ส” มี "ฤทธิ์" และ “เดช” น้องชาย บริหารงานร่วมกัน
 
                           โดยเดชรับผิดชอบด้านการผลิต คัดสินค้า การคิดค้นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ส่วนฤทธิ์ดูแลด้านการตลาด พัฒนาธุรกิจ งานบริหารทั่วไป 
 
                           ทายาทคนรองของคิ้วคชาบอกว่า โดยส่วนตัวทำขนมไม่เป็น มาทำธุรกิจนี้ด้วยคำสอนคุณพ่อว่าต้องทำอะไรในสิ่งที่เชี่ยวชาญ สิ่งที่รัก
 
                           ความรักที่ว่านั้นคือการ “ชิมอาหาร” ซึ่งฤทธิ์บอกว่าเขาชิมอาหารมาทั่วโลก และเป็นสมาชิกสมาคมอาหารโลกด้วย
 
                           ในเว็บไซต์ sfreelife.com ซึ่งเขาเป็นบล็อกเกอร์อยู่นั้นแนะนำว่าเป็น "ผู้คลั่งไคล้อาหาร" และมีความสุขกับการชิมเหนืออื่นใด (we are a group of food aficionados who enjoy eating more than anything else.) 
 
                           “ส่วนตัวจะสนิทกับคุณพ่อ หลายคนบอกว่าผมคล้ายคุณพ่อมาก ผมเข้ามาช่วยงานคุณพ่อคุณแม่ 6-7 ปีแล้ว ตั้งแต่เรียนจบ ตามคุณพ่อและเรียนรู้งานจากคุณพ่อ ธุรกิจซาฟารีเวิลด์ติดตลาดแล้ว ก็อยากทำอะไรในสิ่งที่เป็นของเราด้วย ผมมองว่าโชคดีมากได้เรียนรู้จากธุรกิจซาฟารี และลองธุรกิจของตัวเองควบคู่กันไป ได้เรียนรู้ลองผิดลองถูกกว่าจะมาถึงวันนี้ที่มี 7 แบรนด์ เราเริ่มเปิดแบรนด์ มั่นใจ เข้าใจตลาดและผู้บริโภค สามแบรนด์หลังที่เปิดคือ เกียว โรล เอ็น, เกี๊ยวซ่า และพาสเทล แต่และแบรนด์เปิดปั๊บครองใจผู้บริโภค...”
 
                           ฤทธิ์บอกว่าบิดาไม่ได้ทักท้วง เมื่อเขาคิดเปิดบริษัทใหม่ ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิมเลย และว่าบิดาลงทุนในตัวลูกๆ เยอะมาก ให้ไปเรียนเมืองนอก 20 กว่าปี ถ้าแค่กลับมาช่วยงานคงไม่คุ้ม นอกจากนี้เขายังตั้งใจจะให้ คชา บราเธอร์ส เป็นอีกขาของครอบครัว 
 
                           “เลือกมาทำธุรกิจอาหารเพราะธุรกิจเดิมมีความเสี่ยงอยู่มาก คุณพ่อบอกว่า “อุตส่าห์ หากรรม” ไม่ใช่ “อุตสาหกรรม” หากที่ไหนจาม เราติดหวัดคนแรก”
 
                           ปี 2554 เขาริเริ่ม 3 โครงการใหม่ให้แก่ซาฟารีเวิลด์ โดยใช้เงินลงทุนกว่า 120 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. ไวท์เวิลด์ (White World) คือการรวมสัตว์สีขาวหายากไว้ในที่เดียวกันทั้ง อาทิ หมีขาวจากแถบหิมะขั้วโลกเหนือ เสือขาวจากประเทศแคนาดา สิงโตขาวจากแอฟริกา 2.ล่องเรือริเวอร์ ซาฟารี เนรมิตบรรยากาศป่าอะเมซอน ในเมืองไทย โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจากดิสนีย์แลนด์มาเป็นผู้ออกแบบพัฒนา เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้แก่นักท่องเที่ยว 3.ไนอาล่าฟาร์ม (Nyala Farm) สวนกวางที่มีเขาเป็นเกลียวสวยที่สุด ปัจจุบันพบได้น้อยมากในแอฟริกา รวมถึงการนำสัตว์หายากในโลก อาทิ ม้าลายพันธุ์ Grevy ที่มีลายสวยที่สุดในโลก มาจัดแสดง
 
                           ทำให้บริษัทได้รับรางวัล International Quality Summit Award 2011 ระดับ Gold Category ในงาน BID International Convention for Innovation, Quality and Excellence ณ กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งแรกในเอเชียแปซิฟิกที่ได้รับรางวัลนี้
 
                           ปี 2556 ซาฟารีเวิลด์ ได้รับรางวัล "2013 Travellers' Choice Attractions Award" ติด 1 ใน 1,000 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม (รวมทุกประเภท) จาก 3 แสนกว่าแห่งทั่วโลก จากการโหวตของผู้ใช้เว็บไซต์ Trip Advisor กว่า 100 ล้านเสียง
 
                           ผู้บริหารหนุ่มบอกว่า แม้ราคาค่าเข้าชมสวนสัตว์แห่งนี้จะเพิ่มขึ้นทุกหนึ่งถึงสองปี แต่ลูกค้าเพิ่มติดต่อกันมาหลายปีแล้ว นั่นเป็นเพราะสินค้าดีลิเวอร์ให้ลูกค้ามากกว่าที่เขาคาดหวังไว้ บัตรราคาใบละ 520 บาท แต่เกินกว่าคำว่าคุ้มค่า เดิน (ดู) วันเดียวก็ไม่หมด เพราะที่นี่รวบรวมจาก 60 กว่าประเทศมาไว้ด้วยกัน ลูกค้าซึ่งอยู่ในกลุ่มพรีเมียมจึงรู้สึกว่าคุ้มค่ามาก
 
                           ถามถึงความเหมือนหรือความต่าง ระหว่างธุรกิจสวนสัตว์กับขนมหวาน เขาตอบว่า สองธุรกิจนี้คนมองว่าต่างกันสุดๆ แต่สำหรับเขามันเป็นงานเดียวกัน 
 
                           “ทุกวันงานของผมมีอย่างเดียวคือ ทำอย่างไรให้ลูกค้าเข้ามาแล้วมีความสุขกลับไป อันหนึ่งเป็นอาหารอีกอันเป็นสถานที่ท่องเที่ยว จบวันคำตอบมีอย่างเดียว สำเร็จ ไม่สำเร็จ ลูกค้าเดินออกไปมีความสุขหรือเปล่า หากลูกค้ามีความสุขเราก็สำเร็จ ท่องเที่ยวก็เหมือนกัน ผมทำงานเจ็ดวัน ไม่ได้มองว่าขยันกว่าคนอื่น แต่ธุรกิจที่ทำมันสร้างความสุขให้คน 
 
                           “งานในซาฟารีทุกวันนี้ผมบริหารและเรียนรู้ด้วย เพราะมี 65 ฝ่าย ทุกอย่างเราผลิตเอง ทำเอง สร้างน้ำทะเลเทียม กรองน้ำ ซ่อมบำรุง ช่างไม้ ช่างเหล็ก ซ่อมรถ ปั๊มน้ำมัน เลี้ยงสัตว์ 5 หมื่นกว่าตัว มีผู้เชี่ยวชาญร้อยอย่างน้อยกว่าคน ทั้งหมดผมยังต้องเรียนรู้จากพวกเขา เพราะเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ... “ 
 
                           ส่วนการเป็นผู้นำในธุรกิจของหวานหมายความว่า ต้องเป็น "ที่หนึ่ง" ในใจของผู้บริโภค 
 
                           “ผู้บริโภคต้องนึกถึงแบรนด์เรา อย่างเมืองนอกมีกูลิโกะ ไม่รู้อะไรแต่มีทุกแบบ ทั้งเป็นแท่ง เป็นชิ้น คือเป็นแบรนด์ที่ถูกนึกถึงเป็นแบรนด์แรก เรามีแนวโน้มอย่างนั้น พอเปิดแบรนด์เกียว โรล เอ็น ลูกค้าบอกสฟรีเปิดแบรนด์ใหม่ ก็ตามมากินทันที เขามีความศรัทธาในแบรนด์ หากเราทำสินค้าครอบคลุมหลายอย่าง เมื่อคุณเดินเข้ามาในห้าง ต้องเลือกแบรนด์หนึ่งที่เป็นของคชา บราเธอร์ส...บางแบรนด์เขามี 100-200 สาขา แต่ผมคิดว่าตลาดวันนี้ยากสำหรับแบรนด์หนึ่งที่จะโตจากหนึ่งเป็นร้อยสาขา มันมีความเฉพาะมากขึ้นและหลากหลาย คุณไม่สามารถเป็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ ไลฟ์สไตล์มันหลากหลายขึ้น”
 
 
--------------------------
 
ขนมของเรากินแล้วต้องฟิน
 
 
 
อาณาจักร \'ขนมหวาน\' ของทายาทซาฟารีเวิลด์
 
 
 
                           บริษัท คชา บราเธอร์ส จำกัด ประกอบธุรกิจด้านอาหาร ไอศกรีมและขนมหวานสไตล์ญี่ปุ่น 7 แบรนด์ รวม 37 สาขา ประกอบด้วย Teraoka Gyoza (เทราโอกะ เกี๊ยวซ่า), Kyo Roll En (เกียว โรล เอ็น), Sfree (สฟรี), Parferio (พาร์เฟริโอ) และกาแฟ Aldy’s Coffee Lite (ออลดีส์ คอฟฟี่ไลท์) ล่าสุดคือแพสเทล เป็นร้านขายเอแคลร์สไตล์ฝรั่งเศสซึ่งมีกว่า 30 รส 
 
                           ธุรกิจของหวานและอาหารว่างของบริษัท เน้นใช้กลยุทธ์การผนึกกำลังทางการตลาดระหว่างแบรนด์ของบริษัท เพื่อเสริมสร้างฐานลูกค้า แต่ละแบรนด์มีเอกลักษณ์แตกต่างกันชัดเจน เจาะกลุ่มลูกค้าแต่ละพื้นที่และระดับราย
 
                           ขนมทุกแบรนด์ของบริษัท “เดช” น้องชายคนถัดจากฤทธิ์ เป็นผู้คิดค้นและพัฒนาสูตรขึ้นเอง
 
                           กว่าจะออกมาเป็นสินค้าตัวใหม่ คุณเดชบ่นไหมว่ายาก? 
 
                           “ไม่ครับ มีแต่ผมบ่นว่าน้ำหนักขึ้นทุกวัน (หัวเราะเสียงดัง) ผมต้องชิม เขาเชื่อลิ้น เดชทำมาดีอยู่แล้ว เขามีพรสวรรค์ในการทำ ผมเสริมด้านการตลาดหรือให้มุมมองว่ามันจะโดนไหม หรือกินแล้วภาษาวัยรุ่นบอกมันฟินไหม แทนที่เราจะขายอย่างนี้ก็หั่นให้ชิ้นเล็กลง หรือขายเป็นเซตดีไหม กินคู่กับอันนี้ดีไหม พยายามเสริมเข้าไป 
 
                           “เดชเรียนท่องเที่ยว เรียนคอร์สสั้นๆ ทำขนม และขวนขวายเรียนรู้เอง อาศัยเราเดินทางบ่อย โชคดีด้วยเขาเคยทำงานอยู่ในวงการ รู้จักเชฟญี่ปุ่นขนมหวานเยอะ...ผมเดินทางเยอะตั้งแต่เด็ก รวมแล้วกว่า 60 ประเทศ ญี่ปุ่นไปไม่ต่ำกว่าปีละ 6 ครั้ง ผมคิดว่าเมืองไทยต้องตามเทรนด์เมืองนอก ผมโตจากเมืองนอก อย่างสิงคโปร์หรืออังกฤษ ไม่ใช่ตลาดแบรนด์ของประเทศเขา แต่เป็นตลาดแบรนด์จากทุกมุมโลก แต่บ้านเราแบรนด์อาหารเยอะมาก ผมตั้งเป้าว่าวันหนึ่งอยากเอาแบรนด์ไทยไปเมืองนอก”
 
                           นั่นเป็นเหตุผลให้เขาวางคุณภาพเป็นระดับสากล ทั้งการตบแต่งร้าน และวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ ฤทธิ์อธิบายว่าในการทำธุรกิจค้าปลีก รายละเอียดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะทุกอย่างนำพาไปสู่ประสบการณ์ของลูกค้า หากใช้บริการแล้วดีเหนือความคาดหมาย ก็จะได้รับความไว้วางใจ
 
                           “เราพร้อมออกไปต่างประเทศทุกเมื่อ แต่จังหวะไม่มีใครทราบ ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไร อย่างช่วงนี้ตลาดในประเทศเศรษฐกิจไม่ดี ปีที่แล้วเราโต 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะเรารองรับตลาดพรีเมียม ตลาดนี้ไม่กระทบ แต่คนชั้นกลางจะดร็อปลง..."
 
 
--------------------------
 
(คุยนอกกรอบ : อาณาจักร 'ขนมหวาน' ของทายาทซาฟารีเวิลด์ : โดย...สินีพร มฤคพิทักษ์)