ข่าว

'มูนซีกเกอร์ แกลลอรี่'เวทีของ(ว่าที่)ศิลปินใหม่

'มูนซีกเกอร์ แกลลอรี่'เวทีของ(ว่าที่)ศิลปินใหม่

04 พ.ค. 2557

คุยนอกกรอบ : 'มูนซีกเกอร์ แกลลอรี่' เวทีของ (ว่าที่) ศิลปินใหม่ : เรื่อง / ภาพ...สินีพร มฤคพิทักษ์

 
                             “พระจันทร์” เป็นของสวย ของเย็น อยู่ที่ไหนใครๆ ก็มองเห็น นั่นเป็นที่มาของชื่อ มูนซีกเกอร์ แกลลอรี่ (Moon Seeker Gallery) ที่ทีมงานผู้จัดตั้งบอกว่ามิได้หวังผลกำไร แต่เพราะรักในงานศิลปะ อยากจัดแสดงงานศิลปะดีๆ ให้คนทั่วไปได้ชม 
 
                             ด้วยแนวความคิดว่า งานศิลปะที่ดีไม่จำเป็นต้องมาจากศิลปินที่มีชื่อเสียงเท่านั้น งานศิลปะของศิลปินพื้นบ้าน งานศิลปะของนักศึกษา จำนวนไม่น้อยคุณค่าของงานไม่ด้อยไปกว่าศิลปินที่มีชื่อเสียงเลย แต่คนเหล่านั้นไม่มีโอกาสแสดงผลงาน การสร้างแกลลอรี่แห่งนี้ และที่นี่คือเวทีสำหรับพวกเขา เพื่อให้โลกได้รู้ว่า งานศิลปะที่ดีนั้นไม่จำเป็นต้องมาศิลปินที่มีชื่อเสียงเท่านั้น
 
                             ออกจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่ใครสักคนหรือคนกลุ่มเล็กๆ สักกลุ่ม ต้องการตอบแทนสังคม โดยสละแรงงาน เวลา เงิน เพื่อคนด้อยโอกาสกว่า โดยคิดอย่างเป็นระบบ ใช่ว่าจะแค่บริจาคเงินเท่านั้น  
 
                             “มูนซีกเกอร์ แกลลอรี่” เกิดจากการรวมตัวของเพื่อนฝูง ได้แก่ ก้องเกียรติ จงสถิตย์วัฒนา, มโนพัศ อัมพาผล, ชัชพล พิทยาธิคุณ และสุจินดา กฤตยาเกียรณ ที่บ้างก็ลงเงิน ลงแรง และสถานที่
 
                             ทั้งนี้เพราะพวกเขามีความฝันร่วมกัน !   
 
                             ก้องเกียรติ จงสถิตย์วัฒนา ผู้อำนวยการมูนซีกเกอร์ แกลอรี่ และทายาท "วัฒนาฟุตแวร์" ผู้ผลิตรองเท้าแบรนด์ ตราอูฐ เอเอ บั๊ดดี้ และสตุ๊ดการ์ด เล่าว่า เขาจบการศึกษาด้านศิลปะจากอเมริกา หลังเรียนจบกลับมาช่วยกิจการของครอบครัว และรู้สึกว่าอิ่มตัวกับธุรกิจ อยากทำอะไรตามใจฝัน และหนึ่งในความฝันตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนคืออยากทำแกลลอรี่ 
 
                             มูนซีกเกอร์ แกลลอรี่ ตั้งอยู่ในอาคารสามชั้นย่านทองหล่อ โดยเพื่อนของเขา ชัชพล พิทยาธิคุณ ให้ใช้สถานที่ (ฟรี) โดยก้องเกียรติรับผิดชอบค่าดำเนินการทั้งหมด ประมาณ 3-4 หมื่นบาทต่อเดือน ส่วนมโนพัศ ทำหน้าที่ดูแลแกลลอรี่ การทำโซเชียลมาร์เก็ตติ้ง ผ่านเว็บไซต์ และเฟซบุ๊ก
 
                             "ถามว่าผมมีเงินมาจ้างคนทำโน่นทำนี่ไหม ไม่มีครับ ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง เจียดเงินเดือนมาทำ แต่สิ่งที่เราได้คือ ความสุข ได้มาเห็นงาน เดินเล่น คุยกับน้องๆ รู้สึกดี รายได้ที่จะเลี้ยงที่นี่ อยากให้น้องๆ เปิดเวิร์กช็อปทำกิจกรรม เราอาจขอเปอร์เซ็นต์จากการทำเวิร์กช็อปบ้าง... พวกเราเริ่มทำงานแบบคนไม่มีตังค์นะ เรากระเป๋าแห้งแต่ใจใหญ่ กลายเป็นว่าแกลลอรี่นี้และทุกคนที่มาเป็นวอลันเทียร์จริงๆ มีสี่คน ผม ภรรยา (สุจินดา กฤตยาเกียรณ) พี่พัศ ชัชพล และลูกศิษย์ ณัฐชา โพธิ์อุดม เวลาศิลปินแสดงงานก็ช่วยออร์กาไนซ์ ส่งสื่อ"
 
                             มูนซีกเกอร์ แกลลอรี่ เปิดตัวเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2556 และจัดแสดงงานมาแล้วหลายครั้ง เน้นผลงานนักศึกษาที่ยังไม่มีชื่อเสียง 
 
                             พวกเขารู้ดี หากเป็นศิลปินโนเนมจะไม่มีโอกาสแสดงนิทรรศการเดี่ยว เพราะหลักคิดของแกลลอรี่ทั่วไปคือ ต้องเป็นศิลปินมีชื่อ
 
                             "พื้นที่นี้ให้เด็กๆ ได้จัดโซโล่ผลงาน มันจะอยู่ในพอร์ตโฟลิโอของเขาว่าเคยจัดแสดงงาน มีผลงานมาแล้วนะ ทำให้มีโอกาสเติบโตได้ในอนาคต" 
 
                             ก้องเกียรติ บอกว่า ตอนคิดทำแกลลอรี่ ไม่ได้คิดเรื่องเงินเลย เพื่อนฝูง ครอบครัว รวมทั้งศิลปินชื่อดังอย่าง "เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์" ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ ต่างไม่เห็นด้วย ทุกคนมองว่าการทำอะไรสักอย่างต้องมีรายรับบ้าง   
 
                             "ผมเรียนจบทางด้านศิลปะ คุณพ่อคุณแม่มีกิจการ พอเราเรียนจบปุ๊บเขาอยากให้เราไปช่วยกิจการ เราช่วยกิจการของครอบครัวและรู้สึกว่าเริ่มอิ่มตัวกับธุรกิจ อยากทำอะไรตามใจฝัน หนึ่งในความฝันที่เคยคิดตั้งแต่เป็นนักเรียนคืออยากทำแกลลอรี่ เราคุยตั้งแต่เริ่มทำว่าตังค์ไม่มีนะ ทุกคนบอกไม่มีตังค์นี่เจ๊งนะ มันเจ๊งตั้งแต่คิดแล้วน่ะ ไม่มีอะไรมากกว่านี้... (หัวเราะ)"
 
                             “ผมเคยเป็นนักเรียนศิลปะ เคยเป็นอาจารย์สอน และรู้ว่าการจัดแสดงงานเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ ไม่ใช่จู่ๆ จะได้จัดแสดงงาน กระทั่งวันหนึ่งได้รางวัลเบสท์ ออฟ โชว์ เอ็กซิบิชั่น ที่อเมริกา จึงมีแกลลอรี่โทรหาผมเยอะมากว่า ขอเอางานมาโชว์ได้ไหม วันที่เราเริ่มมีแรงก็เริ่มคิด นั่งคุยกับภรรยา (สุจินดา กฤตยาเกียรณ) ว่า อยากทำอะไรให้นักเรียนศิลปะบ้าง อยากเปิดแกลลอรี่ อยากเปิดที่พุทธมณฑลสาย 7 เพราะขับเรือเล่นแถวนั้น ได้ขับเรือและทำประโยชน์ด้วย..."
 
                             "อีกอย่างใกล้กับมหาวิทยาลัยศิลปากร เอางานมาได้ไม่ไกล ผมคุยกับพี่พัศ (มโนพัศ) ว่าอยากทำ เขาก็คิดเหมือนกันเลย พูดกับพี่พัศว่าไม่ได้ตังค์ ฟรีนะ ฟรีก็ฟรีสิ คุยกับอาจารย์กำจร ทุกคนถามว่าเจ๊งไหม ผมตอบว่า เจ๊งตั้งแต่คิด บางวันก็หน้าเหี่ยวมาก หน้าร้อนค่าไฟแพงมาก เจียดเงินเดือนมาขนาดนี้คุณภรรยาจะโกรธไหมเนี่ย (หัวเราะ) แต่ภรรยายังยิ้มอยู่ครับ…เราหวังว่าสักวันหนึ่งหลังจากเด็กมีชื่อเสียง มีโอกาสนำตัวเองไปเมืองนอก ทำให้ศิลปินไทยโกอินเตอร์" 
 
                             ล่าสุด กำลังทำโครงการศิลปะสัญจรในชื่อ "เติมฝัน สอนศิลป์" โดยจัดครูอาสาไปสอนศิลปะให้นักเรียนโรงเรียนบ้านหนองเขียว อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน จำนวน 150 คน และเด็กที่ได้รับการคัดเลือกผลงานจำนวน 12 คน จะได้มาทัศนศึกษาที่กรุงเทพฯ 3 วัน รวมทั้งมีรางวัลให้เป็นทุนการศึกษาด้วย โดยมีเพื่อนมิตรและสปอนเซอร์จำนวนหนึ่งร่วมสนับสนุน (Moon Seeker Gallery โทรศัพท์ 0-2711-7499)
 
                             ทีมนักศึกษาปริญญาโทจะไปปักหลักสอนศิลปะที่แม่ฮ่องสอน ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้  
 
                             "วันแรกผมโพสต์ลงเฟซบุ๊ก เพื่อนพี่ชาย คุณปราโมท สุขสมพร เมสเสจมาหาว่า เดี๋ยวพี่โอนเงินให้ 2 หมื่น เราก็ตกใจมาก บอกพี่ขอร่วมด้วยโครงการดีๆ อย่างนี้ มันเป็นกำลังใจ หรือพี่สาวเรานั่งรถไปทำงานด้วยกัน ก็พูดให้ฟัง พี่สาวเปิดกระเป๋าตังค์หยิบเงินสดให้ 2,000 บาท ผมพยายามบอกทุกคนว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นเงิน เด็กชาวเขาไม่มีอะไรเลย จะบริจาคเป็นสิ่งของเราก็ยินดีนะ..." ก้องเกียรติกล่าว
 
                             ทำไมเป็นแม่ฮ่องสอน? มโนพัศตอบว่า ไปแม่ฮ่องสอนครั้งก่อน ได้เห็นงานศิลปะซึ่งเขียนดีมาก ทราบว่าเป็นผลงานของเด็กชาวเขา ซึ่งไม่มีวิชาศิลปะในห้องเรียน แต่ครูไม่รู้จะให้ทำอะไร ก็เอากระดาษให้วาดภาพ ผลงานออกมาค่อนข้างดี เขาจึงอยากเอาหลักวิชาการที่ถูกต้องไปให้ ก็รวบรวมนักศึกษาปริญญาโท 7 คน ไปสอนตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม-3 มิถุนายน 2557 สอนเสร็จให้ครูอาสาเลือกผลงาน 60 ชิ้น มีศิลปินให้คะแนน...คัดเลือกมา 12 คน นำเด็กมาทัศนศึกษากรุงเทพฯ และเอาผลงานมาประมูลที่นี่ เพื่อเป็นทุนการศึกษา คนที่ช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้มาก่อนเป็นคนไทยในสหรัฐ ทำโครงการ Small World Mae Hong Son และเศรษฐีอเมริกันคนหนึ่งตั้งเป็นโครงการ Toys for Thailnad พอรู้ว่าเราทำโครงการนี้ก็สนับสนุน และคุยกับทีวีเน็ตเวิร์กที่อเมริกา บอกให้เราทำฟุตเทจส่งไปที่อเมริกาจะออกทีวีให้ 
 
                             พอไปคุยกับ ดร.พนิดา ชื่นชม คณบดีคณะศิลปศาสตร์ ม.เกษมบัณฑิต อาจารย์ก็ให้การสนับสนุน บอกระหว่างที่นักเรียนมาทัศนศึกษาที่กรุงเทพฯ ให้พักหอพักมหาวิทยาลัย 3 วัน มีรถรับส่ง มีไกด์ และให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนปีละ 2 คน
 
                             ทั้งหมดนี้เป็นการทำบุญร่วมกัน... 
 
                             มโนพัศบอกว่า เขาไม่เคยรู้จักกับ ดร.พนิดา มาก่อน แต่ได้รับการแนะนำจากเพื่อน (ใหม่) พนักงานการบินไทยคนหนึ่ง ซึ่งรู้จักกันผ่านสังคมออนไลน์ ที่เขาตอบคำถามเกี่ยวกับไอแพดทางแฟนเพจ เมื่อเขาคิดจะทำโครงการเพื่อนคนนี้แนะนำให้ติดต่อสมาคมลูกเรือการบินไทย และดร.พนิดา
 
                             "สมาคมลูกเรือการบินไทย ถามว่า ค่าใช้จ่ายสำหรับอุปกรณ์เท่าไร เราบอก 6 หมื่นบาทใช้ได้ครึ่งปี เขาบอกแล้วอีกครึ่งปีทำไง เขาบอกงั้นจะบริจาคให้ด้วย...การทำงานที่นี่หลักการใช้ศิลปะเป็นตัวนำ อย่างมูลนิธิทอย ฟอร์ ไทยแลนด์ ให้หาเด็กเขียนภาพประกอบ ทางอเมริกาเขียนเนื้อเรื่องมาแล้วเกี่ยวกับชาวเขา จะแปลและขายทั่วโลก คือเขามีวอลันเทียร์เยอะ และให้เครดิตแกลลอรี่ เราก็มองว่าดี คนจะได้รู้จักเราเพิ่มมากขึ้น เราพยายามเป็นสื่อกลางรวบรวมคนที่ต้องการช่วยตรงนี้"  
 
                             ก้องเกียรติเสริมว่า เชื่อว่าคนเราหากคิดดี ทำดี จะได้ดีด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องเอาคนอื่นมาดัน หรือฉายสปอตไลท์มาที่เรา ถ้าเราดีจริง วันหนึ่งคนต้องมองที่เรา
 
                             ทั้งคู่คิดเหมือนว่า ดอกผลจากการทำแกลลอรี่ของพวกเขานั้น กำไรคือ "ความสุข" 
 
                             หากจะมีรายได้เข้ามาบ้าง ถือว่าเป็น "โบนัส" ที่จะช่วยหล่อเลี้ยงให้แกลลอรี่แห่งนี้ดำเนินงานต่อไป
 
 
------------------------
 
                             โครงการ "เติมฝัน สอนศิลป์" ครั้งที่ 1 จัดขึ้นที่โรงเรียนบ้านหนองเขียว อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน มีนักเรียนของโรงเรียนและโรงเรียนใกล้เคียงเข้าร่วมอบรม 125 คน 
 
                             จากการที่ได้เดินทางไปยัง จ.แม่ฮ่องสอน เมื่อต้นปี 2557 มีโอกาสเห็นผลงานการวาดภาพของเด็กๆ ชาวเขา ทำให้เกิดแนวความคิดอยากส่งเสริมการเรียนรู้ด้านศิลปะแก่เด็กเหล่านั้นในพื้นฐานที่ถูกต้องและถูกวิธี เมื่อได้พูดคุยกับ Small World Mae Hong Son และ Toys for Thailand ที่ช่วยเหลือเด็กๆ ชาวเขาเหล่านี้มาก่อน ทำให้พบว่า เด็กๆ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังขาดหายไป ทั้งองค์ความรู้ที่ถูกต้องอุปกรณ์การเล่าเรียน กำลังใจ และพบว่าไม่มีชั้นเรียนสอนศิลปะของโรงเรียน จึงอยากจะเติมเต็มช่องว่างเหล่านั้น เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กมีหนทางเผยแพร่ความสามารถและมุมมองได้มากที่สุด
 
                             มูนซีกเกอร์ แกลลอรี่ จึงจัดเตรียมทีมครูอาสา และบุคลากรด้านต่างๆ เพื่อขึ้นไปสอนศิลปะแก่เด็ก รวมทั้งคัดเลือกและนำผลงานการวาดภาพของเด็กๆ มาเปิดแสดงยังแกลลอรี่และประมูลภาพวาดเหล่านั้น เพื่อเป็นทุนการศึกษาของเด็กๆ และมอบให้โรงเรียน
 
                             เด็กๆ ที่ได้รับรางวัล จำนวน 12 คน จะมีโอกาสมาทัศนศึกษาที่กรุงเทพฯ 3 วัน โดยเที่ยวชมพระบรมมหาราชวัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยา ชมโลกใต้ทะเลที่สยามโอเชี่ยนเวิร์ล สยามพารากอน ชมงานศิลปะที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัยโมคา (MOCA) นั่งรถไฟฟ้าบีทีเอส, เอ็มอาร์ที และเที่ยวชมสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อให้เห็นภาพสถานที่จริงเป็นรางวัลชีวิต และต่อยอดจินตนาการในงานศิลปะต่อไป
 
 
------------------------
 
(คุยนอกกรอบ : 'มูนซีกเกอร์ แกลลอรี่' เวทีของ (ว่าที่) ศิลปินใหม่ : เรื่อง / ภาพ...สินีพร มฤคพิทักษ์)