ข่าว

ศึกชิงเมือง

ศึกชิงเมือง

28 เม.ย. 2557

ศึกชิงเมือง : วันเว้นวัน จันทร์ พุธ ศุกร์ กับ ประภัสสร เสวิกุล

               แนวคิดในการป้องกันกรุงศรีอยุธยาจากข้าศึกในสมัยโบราณ ก็คือการตั้งมั่นในตัวเมือง ปล่อยให้ข้าศึกตั้งค่ายล้อมกรุง และประวิงเวลาไปจนถึงฤดูน้ำหลาก น้ำเหนือก็จะไหลบ่าตามแม่น้ำป่าสัก แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำสายอื่นๆ ลงมาท่วมท้องทุ่ง ซึ่งกองทัพข้าศึกตั้งค่ายอยู่ ทำให้ข้าศึกต้องถอยทัพกลับไป เรียกได้ว่าเป็นการอาศัยชัยภูมิตามธรรมชาติของกรุงศรีอยุธยานั่นเองเป็นสิ่งป้องกันตัว แต่แนวคิดนี้ก็ไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด เพราะกรุงศรีอยุธยาก็ไม่สามารถรอดพ้นจากน้ำมือของข้าศึกไปได้ โดยเฉพาะในการเสียกรุงครั้งหลัง ว่ากันว่าข้าศึกไม่ได้ตั้งค่ายบนพื้นราบ แต่อยู่กันบนแพ น้ำจะมากอย่างไรก็ไม่มีทางท่วมได้

               เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ได้ไม่นาน ข้าศึกเจ้าเก่าก็ยกทัพมาอีก คราวนี้รุกระดมเข้ามาทุกทางถึง 9 ทัพ มีกำลังพลมากมายมหาศาล รัชกาลที่ 1 มิได้ทรงใช้แนวคิดเช่นสมัยกรุงศรีอยุธยาในการตั้งรับ แต่ทรงส่งกองทัพออกไปสกัดกั้นกองทัพข้าศึกตั้งแต่ชายแดน และการรบครั้งสำคัญที่ตำบลลาดหญ้า เมืองกาญจนบุรี ก็ทำให้ข้าศึกประสบความปราชัย และเกิดความวุ่นวายในประเทศของตน จนตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกไปในที่สุด

               ลองคิดกันเล่นๆ ว่า ถ้ากรุงรัตนโกสินทร์ใช้ยุทธวิธีเดิมเช่นในสมัยกรุงศรีอยุธยาในการป้องกันเมือง แทนการยกทัพออกไปรบตั้งแต่ชายแดน อะไรจะเกิดขึ้น? คำตอบที่พอจะมองเห็นได้ชัดเจนก็คือ ไทยคงจะต้องเสียกรุงครั้งที่ 3 เพราะในเวลานั้น เพิ่งจะเริ่มตั้งบ้านเมือง กำลังไพร่พลก็มีน้อย และส่วนใหญ่ก็ยังมีความรู้สึกเข็ดขามต่อข้าศึก หากปล่อยให้กองทัพขนาดใหญ่เข้ามาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ก็คงยากจะต้านยันเอาไว้ได้ ดังนั้นรัชกาลที่ 1 และกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระอนุชา จึงทรงใช้ยุทธวิธีแบบ “การรบนอกบ้าน” และ “การรบแบบกองโจร” ตีตัดกำลังข้าศึกที่ยกมาเป็นพยุหแสนยา จนแตกพ่ายไป

               การคิดนอกแบบการคิดนอกกรอบ และการรบนอกแบบเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องอาศัยประสบการณ์ที่โชกโชนในการรบ ความกล้าหาญในการทำสิ่งที่แปลกไปจากเดิม และความสามารถเฉพาะตัวเป็นอย่างสูง ในการรบที่ลาดหญ้านั้น นอกจากจะเป็นการชี้ชะตากรรมของไทยแล้ว กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ยังทรงเรียกขวัญและกำลังใจของทหารไทยและคนไทย ด้วยการตั้งค่ายล้อมกองทัพข้าศึก และตีตัดการส่งเสบียง ทำให้ข้าศึกขาดแคลนอาหาร จนอดยากหิวโหยต้องยอมออกมามอบตัวแต่โดยดี

               ในทุกวันนี้ก็ยังมีคนที่มีแนวคิดในการต่อสู้ แบบตั้งมั่นอยู่ในเมือง และประวิงเวลาเพื่อรอสถานการณ์ไปเรื่อยๆ โดยหวังว่าจะมีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น และทำให้ทัพที่ล้อมเมืองถอยกลับไปเอง ซึ่งไม่ต่างจากการที่เด็กเล่นจ้องตากันว่า ใครกะพริบตาก่อนก็จะเป็นฝ่ายแพ้ ซึ่งการเล่นแบบนี้ขึ้นอยู่กับว่าใครจะอึดกว่ากัน ไม่จำเป็นว่าผู้ชนะจะต้องเป็นคนที่เก่งกว่า

               คำตอบของสงครามล้อมเมืองมี 2 อย่าง อย่างแรกคือ ฝ่ายที่ล้อมต้องหาทางป้องกันสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น เช่น การทำแพขนาดใหญ่ให้ขึ้นลงตามระดับน้ำและเร่งรุกหักเอาเมืองอย่างในสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 หรือฝ่ายที่ถูกล้อมต้องตีฝ่าออกไป และเปิดการรบนอกบ้าน

               ทั้งนี้และทั้งนั้นก็อยู่ที่ใครจะอึดกว่ากันตัดสินใจได้เด็ดขาด ฉับไวกว่า และคาดเดาสถานการณ์ได้แม่นยำกว่ากัน เท่านั้นแหละครับ