
'บราซิลเลี่ยน จูจิสสึ'สอน'อาร์ม'สู้ด้วยสติ
24 เม.ย. 2557
ขอเวลานอก : 'บราซิลเลี่ยน จูจิสสึ' สอน 'อาร์ม' สู้ด้วยสติ : เรื่อง วันวิสา โรจน์แสงรัตน์/ ภาพ ธนาชัย ประมาณพาณิชย์
"บราซิลเลี่ยน จูจิสสึ เป็นศิลปะการป้องกันตัวที่มีจิตวิญญาณ เป็นกีฬาที่ไม่รุนแรง ถ้าเรียนรู้อย่างเข้าใจก็จะไม่เจ็บตัว เวลาซ้อมเป็นคู่ต้องเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมากและเป็นเสน่ห์ของกีฬาประเภทนี้"
เมื่อต้องทุ่มเททำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน การคลายเครียดในรูปแบบต่างๆ จึงถูกดึงมาใช้แล้วแต่ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน สำหรับหนุ่มหล่ออารมณ์ดีวัย 30 ปี "อาร์ม" อภิลักษณ์ หุวะนันทน์ เจ้าของร่วม บริษัท สยาม ออร์แกนิค จำกัด และ บริษัท แจสเบอร์รี่ จำกัด เลือกที่จะสลัดความเครียดจากงานประจำวัน กับเวลาว่างอันน้อยนิดด้วยการออกกำลังกายเรียกเหงื่อจากกีฬาแปลกใหม่ ที่เจ้าตัวทุ่มเทฝึกซ้อมมากว่า 5 ปีอย่าง "บราซิลเลี่ยน จูจิสสึ" และวันนี้ยังชักชวนมาชมการซ้อม พร้อมสาธิตการออกท่าทางอย่างคล่องแคล่ว ภายใน แบงค็อก บีเจเจ สถานฝึกซ้อมซึ่งเขาแวะเวียนมาใช้บริการเป็นประจำ บนชั้น 3 อาคารมหาทุนพลาซ่า เพลินจิต
หลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอ "หนุ่มอาร์ม" ก็เริ่มบทสนทนาโดยเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่า หลังจากเรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกาแล้ว กลับมาเรียนต่อระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ ที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วเริ่มทำงานด้วยการเปิดบริษัททำธุรกิจเกี่ยวกับข้าวกล้องสายพันธุ์พิเศษที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เป็นธุรกิจเพื่อสังคมทำให้ได้ช่วยเกษตรกรไทย ด้วยตอนนี้กำลังทำการตลาดในเมืองไทย และอยู่ในขั้นตอนดำเนินการส่งออกไปขายในต่างประเทศด้วย งานจึงค่อนข้างยุ่งมาก เพราะต้องดูแลอย่างใกล้ชิดและมีบ้างที่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด ยอมรับเลยว่าหนักพอสมควรทั้งยังมีเครียดบ้าง จึงต้องหาเวลาออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลายบ้าง และกีฬาที่ชื่นชอบตอนนี้ คือ บราซิลเลี่ยน จูจิสสึ ซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่มีชื่อเสียงมากของประเทศญี่ปุ่น แล้วถูกนำไปพัฒนาที่ประเทศบราซิลจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
"ที่จริงตอนเด็กๆ ผมชอบเล่นยูโดกับพ่อมาก จนมาเจออาจารย์ที่สอนอยู่ที่นี่แนะนำให้ลองมาเรียน ผมก็สนใจและเริ่มเรียนมาตั้งแต่ราวปลายปี 2008 ที่ผมเลือกเรียนเพราะมันมีเทคนิคบางอย่างคล้ายกับยูโด แต่ผมลองต่อสู้กับเขาแล้วสู้ไม่ได้ทั้งที่ผมตัวใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่าด้วย ผมเลยอยากเรียนรู้เทคนิคจากอาจารย์ ก็เลยตัดสินใจเรียน ตอนนั้นชวนเพื่อนมาเรียนด้วย แต่ก็ห่างหายไปหมดแล้ว ยังเหลือแค่ 2 คนที่ยังเล่นด้วยกันอยู่ ตอนนี้ผ่านมาประมาณ 5 ปีแล้ว แต่มันเหมือนเป็นการเรียนรู้ระยะยาว ยังต้องเรียนไปเรื่อยๆ เพราะทุกครั้งที่มาเรียน อาจารย์และโค้ชจะแนะนำเทคนิคใหม่ๆ ให้เสมอ พอเรารู้เทคนิคแล้วก็ต้องหมั่นซ้อมบ่อยๆ เพื่อให้เกิดความชำนาญ" ลูกชายคนเล็กของคุณพ่ออุ้มยศ หุวะนันทน์ และคุณแม่ศิริกุล โอภาสวงศ์ เล่าถึงที่มาของกีฬาสุดโปรด ก่อนขอตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมสาธิตให้ได้ชมกัน
ก่อนลงสนามซ้อมจริง หนุ่มผู้คลั่งไคล้ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานเล่าต่อว่า ปกติทำงานค่อนข้างหนักจนแทบไม่มีวันหยุด แต่ก็ต้องหาเวลามาเรียนเพื่อไม่ให้ขาดช่วง ซึ่งส่วนมากจะเลือกมาแต่เช้าตรู่ก่อนไปทำงานสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 1-1.30 ชั่วโมง หรือหากพอมีเวลาก็อาจมาช่วงวันหยุดซึ่งจะอยู่นานถึง 2.30 ชั่วโมง แต่ถ้าเลือกได้จะชอบมาช่วงเช้ามากกว่าเพราะคนมาเรียนไม่เยอะ และการได้ออกกำลังกายตอนเช้าทำให้ร่างกายสดชื่น อะดรีนาลีนสูบฉีด ส่งผลให้ร่างกายพร้อมที่จะลุยงานหนักที่ต้องเจอในวันนั้นด้วย
"บราซิลเลี่ยน จูจิสสึ เป็นศิลปะการป้องกันตัวที่มีจิตวิญญาณ เป็นกีฬาที่ไม่รุนแรง ถ้าเรียนรู้อย่างเข้าใจก็จะไม่เจ็บตัว เวลาซ้อมเป็นคู่ต้องเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมากและเป็นเสน่ห์ของกีฬาประเภทนี้เลยก็ว่าได้ อย่างตอนที่ผมไปต่างประเทศ แล้วเข้าไปในโรงฝึกของเขา เขาจะให้การต้อนรับและเคารพเรา เป็นการให้เกียรติคนที่เข้ามาเล่นเสมือนว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน" หนุ่มผู้หลงรักศิลปะการต่อสู้เล่าถึงเสน่ห์ของบราซิลเลี่ยน จูจิสสึ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
สำหรับกีฬาประเภทนี่มีการแบ่งระดับความชำนาญเป็นสายสีต่างๆ คล้ายกับยูโดและเทควันโด โดยเริ่มต้นจากสายสีขาว ไล่เรียงไปที่สีฟ้า สีม่วง สีน้ำตาล และสีดำ ซึ่งหลังจากการเรียนรู้และซ้อมอย่างเอาจริงเอาจัง หนุ่มอาร์มก็ได้สายสีฟ้ามาประดับที่เอวเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งนั่นเองบ่งบอกถึงพัฒนาการที่ดีขึ้นเป็นลำดับของหนุ่มนักสู้บนผืนผ้าใบคนนี้
เมื่อชุดพร้อม ร่างกายพร้อม ก็ได้เวลาลงสนามกันแล้ว ก่อนอื่นต้องวอร์มร่างกายด้วยท่าทางพื้นฐาน ต่อด้วยการเรียนรู้เทคนิคจากอาจารย์ แล้วจึงได้เวลาซ้อมจริงกับคู่ซ้อมที่สลับสับเปลี่ยนกันมาเรื่อยๆ โดยหนุ่มอาร์มเล่าไป พลางสาธิตการต่อสู้ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว พร้อมเล่าถึงกติกาการเล่นให้ฟังเป็นความรู้ว่า จะแพ้ชนะกันได้เมื่อฝ่ายหนึ่งโดนล็อก ไม่สามารถหลุดออกได้ จนต้องตบเบาะยอมแพ้ ถือว่าการแข่งขันจบลง ฝ่ายที่ได้เปรียบต้องปล่อยตัว เพื่อเริ่มการแข่งขันใหม่
"ผมว่าการเล่นกีฬาก็เหมือนกับการทำงาน คือสอนที่จะให้เราสู้ ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ หากเราอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ เราต้องใจเย็น และมีสมาธิ คิดหาวิธีแก้ไข เหมือนเวลางานของเราเกิดปัญหา เราก็ต้องมีสติที่จะคิดแก้ไขปัญหานั้น แต่ศิลปะการต่อสู้ไม่ได้สอนให้เราต้องไปสู้กับใคร แต่เมื่อเรียนแล้วรู้ว่าเป็นอย่างไร ทำให้เรามีสปิริต ในอนาคตหากเราจะมีเรื่องกับใคร เราจะมีสติยั้งคิดและไม่ใช้การต่อสู้หากไม่จำเป็นจริงๆ ผมคิดเสมอว่า "เราเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้" บทสรุปทิ้งท้ายจากความคิดของหนุ่มนักสู้บนผืนผ้าใบ