
'ปชป.'ซัด'ศรส.'ประกาศศัตรูชัดเจน!
11 มี.ค. 2557
'ปชป.' ชี้ ไทยเข้าสู่ยุคปฏิรูปพาปท.เดินหน้า ท้า 'ปู' แสดงจุดยืน-วิสัยทัศน์ เน้นแก้ปมโกง เสียใจ 'รบ.' เมินความปลอดภัยประชาชน ซัด 'ศรส.' ประกาศเป็นศัตรูชัดเจน
11 มี.ค. 57 นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคการปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริง โดยเวทีกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก ส่วนของพรรคประชาธิปัตย์จะมีการนำเสนอแนวทางการปฏิรูปจัดทำเป็นรูปเล่มเพื่อเผยแพร่ในวันที่ 28 มี.ค. 57 จึงอยากเห็นว่ารัฐบาลจะให้ความสำคัญเรื่องนี้อย่างไร เช่น การขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่น เพราะประชาชนอยากเห็นการแก้ปัญหาการโกง
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจนเพราะมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุชัดว่า 2 ปีที่ผ่านมาการทุจริตรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะโครงการจำนำข้าวที่ทำให้การทุจริตมากขึ้น ไม่โปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐก่อให้เกิดปัญหาการทุจริตเป็นจำนวนมหาศาล ดังนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องออกมาแสดงบทบาท เพราะนอกจาก กปปส. , ภาคเอกชน และพรรคประชาธิปัตย์แล้ว รัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยไม่เคยเสนอแนวคิดในการปฏิรูปประเทศ แต่บิดเบือนข้อเท็จจริงผ่านช่อง 11 โดยมีการรายงานข่าวเรื่องข้าวทุกคืนแบบให้ข้อมูลด้านเดียว ที่เป็นประโยชน์กับรัฐบาลแต่แก้ปัญหาให้ชาวนาไม่ได้ เพราะงบกลาง 2 หมื่นล้านก็ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ ขณะที่การระบายข้าวมีปัญหา เพราะเวียดนามลดราคาข้าวลงมาแข่ง ซึ่งจะทำให้รัฐบาลไทยแข่งกับเวียดนาม เอกชนไทยและชาวนาไทย ทำให้ราคาข้าวตกต่ำเกิดภาระขาดทุนมีรายได้น้อยกว่าที่ประมาณการ รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในการดำเนินการดังกล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ระบุในทำนองว่า หากกระบวนการยุติธรรมตัดสินไม่ถูกใจพวกตัวเองก็จะถูกวิจารณ์ทำลายความน่าเชื่อถือนั้น ขอเรียกร้องให้บุคลากรในฝั่งรัฐบาลเลิกกล่าวหากระบวนการยุติธรรม เพราะเป็นการทำลายระบบนิติรัฐของประเทศ ทำลายกระบวนการนิติธรรม เป็นการวางยาพิษให้กับประเทศไทยอย่างรุนแรง ทั้งที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลเคยได้ประโยชน์ จากการตัดสินของกระบวนการยุติธรรม จึงขอให้องค์กรอิสระและศาลยึดหลักความถูกต้องไมใช่ยึดตามความต้องการของใคร เพราะจะทำให้ประเทศชาติล่มจมแน่นอน
ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม ระบุว่า อาจเกิดสงครามกลางเมืองนั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า เกิดจากนายใหญ่สั่งแล้วใช่หรือไม่ จึงเกรงว่าจะมีการปลุกมวลชนเข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อสร้างความรุนแรงนำเรื่องนี้มาขู่ว่า ชายชุดดำจะรีเทิร์น ไฟลุก รุนแรงมากกว่าปี 2553 จึงอยากให้ข้าราชการฉุกคิดว่าอย่าเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้รัฐบาล โดยเชื่อว่า 2 เดือนต่อจากนี้ไป จะเป็นช่วงอันตรายสำหรับประเทศด้วย
เสียใจ 'รบ.' เมินความปลอดภัยประชาชน ซัด 'ศรส.' ประกาศเป็นศัตรูชัดเจน
นายชวนนท์ แถลงถึงสถานการณ์การเมืองที่ยังเกิดความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีการยิงเอ็ม 79 บ้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพื้นที่ข้างสวนลุมพินี ทำให้มีผู้บาดเจ็บสาหัส 1 รายว่า เป็นสถานการณ์ที่มีกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีกับประชาชน ป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณที่ชุมนุมมาโดยตลอด แต่รัฐบาลกลับไม่สนใจที่จะดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า แต่ศูนย์อำนายการรักษาความสงบ (ศรส.) ประกาศตนเป็นศัตรูกับกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) อย่างชัดเจน โดยไม่มีท่าทีว่าผู้มีอำนาจจะเข้ามาป้องกัน ไม่ให้เกิดเหตุเพิ่ม แต่มุ่งเน้นไปที่การควบคุมการชุมนุมของประชาชน เช่น การอุทธรณ์คำสั่งศาลแพ่ง 9 ข้อ สะท้อนรัฐบาลพยายามเพิ่มอำนาจ จัดการประชาชนที่มาชุมนุม ไม่ได้มีเจตนาป้องกันหรือปราบปรามชายชุดดำที่ใช้อาวุธทำร้ายประชาชน จึงเป็นการทำงานที่ดูเหมือนเป็นเนื้อเดียว กับชายชุดดำที่ทำร้ายประชาชน
นายชวนนท์ กล่าวว่า นอกจากนี้ที่พยายามจะร้องศาลรัฐธรรมนูญว่า การชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 เป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่รัฐบาลพุ่งเป้าไปที่ประชาชนที่ชุมนุมจุดเดียวไม่ขวางทางจราจรแต่เป็นพื้นที่ปิดใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ จึงอยากเชิญ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน กับนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ ไปวิ่งที่สวนลุมพินี จะได้ทราบว่าที่กล่าวหาว่ามีอาวุธนั้นแท้จริง เป็นการชุมนุมโดยสงบ มีกิจกรรมให้ความรู้ ทำงานด้านการปฏิรูปประเทศ แต่รัฐบาลกลับมองว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง เพราะการชุมนุมของประชาชนเพื่อให้เกิดระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบผ่านการปฏิรูปประเทศ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐบาลยังพยายามให้ข่าวบิดเบือนข้อเท็จจริง คือ 1. การเจรจากับหลวงปู่พุทธะอิสระหลายครั้ง รัฐบาลไม่มีความจริงใจหาทางออกร่วมกัน แต่เป็นการหวังผลไม่ให้การเจรจาสำเร็จแล้วกล่าวอ้างว่า เพราะหลวงปู่พุทธะอิสระตั้งเงื่อนไขมากเกินไป ทั้งที่หลายครั้งข้อเสนอของผู้ชุมนุมถูกปฏิเสธจากรัฐบาล โดยพื้นที่นี้สุ่มเสี่ยงกับความรุนแรงมาโดยตลอด
นายชวนนท์ กล่าวว่า 2. มีการกล่าวหาออกหมายจับนายอิสสระ สมชัย ว่า ทำร้ายร่างกายคนที่พกบัตรแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยมีข้อสังเกตว่าตำรวจใช้เวลาสอบสวนไม่นาน ทั้งที่ชายคนดังกล่าวแทบพูดไม่ได้ แต่กลับมีการกล่าวหาและพาดพิง ไปถึงนายอิสสระอย่างรวดเร็ว จนถึงการขออนุมัติศาลออกหมายจับ จึงตั้งข้อสังเกตว่ามีการสมรู้ร่วมคิด ระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้มีอำนาจเพื่อทำให้การชุมนุมมีการใช้ความรุนแรงหรือไม่ จึงขอเรียกร้องว่าหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม จะเลิกประกาศใช้พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ต้องรับรองความปลอดภัยให้ประชาชน ไม่ใช่ยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อเปิดทางให้มีการทำร้ายประชาชน เช่นเดียวกับการอุทธรณ์คำสั่งศาลแพ่ง