ข่าว

 'ผมคิดว่าคงต้องตาย'แท็กซี่เหยื่อปล้นปลง

'ผมคิดว่าคงต้องตาย'แท็กซี่เหยื่อปล้นปลง

23 มิ.ย. 2552

ภัยที่เกิดกับแท็กซี่ยังมีให้เห็นอยู่เสมอ สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะมิจฉาชีพรู้หรือพยายามเข้าใจว่า โชเฟอร์แท็กซี่มีเงินติดตัวเปรียบเหมือนตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่ จี้ปล้นได้ง่าย เลยมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับคนกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าบทเรียนของเพื่อนร่วมอาชีพจะทำ

"ศักดิ์ดา ทองมาลี" โชเฟอร์แท็กซี่สีชมพู ทะเบียน ทว 415 กรุงเทพมหานคร เป็นเหยื่อรายล่าสุดที่ตระหนักดีในเรื่องนี้ เขาถูกคนร้ายปล้นและแทงเข้าที่หัวไหล่ซ้าย สะบักขวา และกลางหลัง เข้ารักษาตัวที่ห้อง 1123 รพ.วิภาราม โดยมีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด
 "ผมคิดว่าผมต้องตายแน่นอน" ศักดิ์ดากล่าวจากเตียงคนไข้ ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความรู้สึกนึกคิดในวินาทีชีวิต กระทั่งรอดตายมาราวปาฏิหาริย์ และเรื่องราวระหว่างนี้ที่บ่งชี้ให้เห็นถึงสภาพสังคมเมืองในยุค...ปัจจุบัน

 ตั้งแต่ 4 โมงเย็น วันที่ 21 มิถุนายน ศักดิ์ดาขับรถแท็กซี่ตระเวนรับส่งผู้โดยสารไปตามสถานที่ต่างๆ กระทั่งตกดึกมีผู้โดยสารเรียกจากสะพานพุทธไปส่งที่ซอยรามคำแหง 52 เขาใช้เวลาวิ่งรถเกือบเที่ยงคืนก็ถึงที่หมาย พอส่งเสร็จก็ลัดเลาะออกมาทางถนนรามคำแหง เมื่อถึงหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง มีชายวัยรุ่น 3 คน โบกเรียกเขาก็จอดรับ

 หนึ่งในวัยรุ่นบอกให้ไปส่งซอยพัฒนาการ 32 ศักดิ์ดายอมรับว่าตอนนั้นไม่ได้คิดหวั่นใจอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว คิดเพียงว่าใกล้แค่นี้เองขับไปเดี๋ยวเดียวก็ถึง เมื่อตอบตกลงคนแรกตรงขึ้นมานั่งเบาะหน้าคู่คนขับ อีกสองคนนั่งเบาะหลัง ออกตัววิ่งไปตามเส้นทางกระทั่งผ่านซอยพัฒนาการ 30 หนึ่งในสองวัยรุ่นเบาะหลังตะโกนบอกว่าเลยซอยแล้ว นั่นเองทำให้ศักดิ์ดาเริ่มฉุกคิดถึงเรื่องราวร้ายๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมอาชีพก่อนหน้านี้ อย่างที่ไม่เคยขบคิดขณะรับวัยรุ่นทั้งสามขึ้นรถมาก่อนเลย

 วัยรุ่นชายคนเดิมไขข้อข้องใจว่า ให้เข้าไปในซอยพัฒนาการ 32 เพื่อทะลุออกซอยพัฒนาการ 30 นั่นยิ่งทำให้ศักดิ์เริ่มแปลกใจมากขึ้น ขณะเดียวกันก็กลัวมากขึ้นด้วย เขารู้ดีว่าซอยที่ว่านี้ค่อนข้างเปลี่ยว ไม่มีผู้คนและรถราสัญจรไปมา แต่ก็จำยอมทำตามกระทั่งเข้าไปในซอยขึ้นสะพานข้ามคลอง เปิดไฟสูงมองเข้าไปก็เห็นว่าทั้งมืดและเปลี่ยว จึงตัดสินใจจอดรถ เปิดไฟในห้องโดยสาร และปลดเข็มขัดนิรภัย !?!

 "ผมไม่ไปแล้ว น้องช่วยลงจากรถแล้วกัน ทางข้างหน้าเปลี่ยวมาก พี่คงไปให้ไม่ได้แล้ว"

 ทันทีที่ศักดิ์ดาพูดจบ วัยรุ่นเบาะหน้าก็เอื้อมมาล็อกคอ อีกสองคนช่วยกันจับตัว ศักดิ์ดาพยายามดิ้นหนีสุดชีวิต จนสามารถเปิดประตูหนีออกไปได้ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าถูกแทงตอนไหน ยกเว้นรู้สึกเหมือนกับถูกกระแทกจากด้านหลัง จึงพยายามกระเสือกกระสนหนีออกจากรถ แล้ววิ่งล้มลุกคลุกคลานไปยังบ้านหลังหนึ่งที่เปิดไฟอยู่ เลยตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ แต่สิ่งที่ได้รับคือเจ้าของบ้านหรือคนที่อยู่ในบ้านตะโกนไล่ หาว่าศักดิ์ดาเป็นโจร โดยไม่แม้แต่จะเยี่ยมออกมาดูเลยด้วยซ้ำว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง

 ตอนนี้เองที่ศักดิ์ดาเริ่มรู้ตัวว่าถูกแทงได้รับบาดเจ็บ เมื่อบ้านหลังแรกปฏิเสธให้ความช่วยเหลือ เขาจึงกระเสือกกระสนวิ่งไปที่หน้าปากซอย จังหวะนี้เขาเห็นวัยรุ่นทั้งสามคนขับรถแท็กซี่ตามหลังมาจึงแอบเข้าข้างทาง รอจนลับตาจึงออกมาขอความช่วยเหลือจากบ้านอีกหลังใกล้ปากซอยซึ่งยังเปิดไฟอยู่ "ช่วยผมด้วย ผมไม่ใช่โจร ผมเป็นคนขับแท็กซี่ ถูกปล้นแล้วก็ถูกแทงด้วย ช่วยผมด้วย"

 เจ้าของบ้านเดินออกมาดูบอกให้รอแล้วโทรศัพท์แจ้งตำรวจ สน.คลองตัน ท้องที่รับผิดชอบ เมื่อวิทยุสกัดจับไม่นานสายตรวจ สน.วังทองหลาง ที่ตั้งด่านตรวจบริเวณกลางซอยรามคำแหง 65 ก็พบเห็นรถยนต์ต้องสงสัยเข้าไปจอดที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งจึงเข้าตรวจสอบ แต่วัยรุ่นทั้งสามเมื่อเห็นตำรวจได้ปีนกำแพงหลบหนีไป จับได้เพียง 1 คน 
 เด็กหนุ่มวัย 18 หนึ่งในสามที่ก่อเหตุแล้วถูกจับได้ อ้างว่าเขาไม่ใช่คนที่ลงมือก่อเหตุ แต่เป็นเพื่อนที่หลบหนีไปชื่อ ลิ้น วัย 19 ปี และเพื่อน ซึ่งรู้จักกันที่โรงเรียนสอนศาสนาแห่งหนึ่งในซอยพัฒนาการ 20 ระหว่างนั่งเล่นอยู่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง เพื่อนทั้งสองคนได้เรียกรถแท็กซี่กลับไปนอนที่หอพักในโรงเรียนสอนศาสนาแล้วก่อเหตุขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว

 ไม่ว่าจะให้การอย่างไร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับศักดิ์ดาได้กลายเป็นอีกหน้าของอาชญากรรมที่เกิดกับโชเฟอร์แท็กซี่ที่ต้องบันทึกไว้ ถึงแม้ว่าหลายคนจะเคยพูดเตือนไว้แล้ว แต่เขาก็อยากฝากไปถึงเพื่อนร่วมอาชีพอีกครั้งว่า อย่าได้ประมาท

 "ผมอยากฝากไปถึงเพื่อนแท็กซี่กะกลางคืน ให้เลือกผู้โดยสารให้ดี ถ้าเป็นวัยรุ่นชายควรระวังให้ดี โดยเฉพาะที่หมายปลายทางถึงแม้ว่าเราจะรู้จัก แต่ถ้าไม่คุ้นเมื่อขับเข้าไปแล้วรู้สึกว่ามีอันตรายให้ระวังตัว รีบออกมา หรือไปหาตำรวจดีกว่า ครั้งนี้ถือว่าผมโชคดีมากที่รอดชีวิตกลับมาได้"
 สุดท้ายศักดิ์ดาฝากขอบคุณเจ้าของบ้านที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือเขาด้วย