ข่าว

พิสูจน์เลี้ยงหมู'คอนแทรคฟาร์มมิ่ง'

พิสูจน์เลี้ยงหมู'คอนแทรคฟาร์มมิ่ง'

02 มี.ค. 2557

พิสูจน์เลี้ยงหมู'คอนแทรคฟาร์มมิ่ง' อีกหนึ่งตัวอย่างที่'มิ่งสกุลฟาร์ม' : คอลัมน์ท่องโลกเกษตร

 
                       ท่ามกลางกระแสที่หลายฝ่ายต่างวิพากษ์วิจารณ์ และมีมุมมองที่ต่างกันถึงการทำเกษตรในระบบ "พันธสัญญา" หรือที่เรียกว่า คอนแทรคฟาร์มมิ่ง (Contract Farming) ว่าดีจริงหรือว่าถูกเอาเปรียบจากบริษัทนายทุน เนื่องจากที่ผ่านมามีทั้งผู้ที่ประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม ขณะที่เกษตรกรจำนวนไม่น้อยที่ประสบความล้มเหลว และเสียเปรียบในข้อตกลงกับบริษัทคู่สัญญานั้น ทีม "ท่องโลกเกษตร" ลงพื้นที่ตะลุย “มิ่งสกุลฟาร์ม” ของ "กาญจนา มิ่งสกุล" หรือ ครูแอ๊ด ที่หมู่ 9 ต.หัวสำโรง อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ผู้ร่วมกับโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสุกรขุนแก่เกษตรกรรายย่อย ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มายาวนาน และยังคงอยู่ถึงวันนี้
 
                       กาญจนา เกิดมาในครอบครัวที่เลี้ยงสุกรมานานแล้ว แต่การเลี้ยงสุกรของครอบครัวกาญจนา ก็ไม่แตกต่างจากเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรส่วนในประเทศไทย คือเริ่มต้นด้วยการเลี้ยงหมูหลังบ้าน ให้อาหารที่ผสมเอง และทำตลาดในชุมชน แต่ประสบปัญหาหลายด้าน ทั้งโตช้า ราคาไม่แน่นอน มีความเสี่ยงต่อการขาดทุนสูง จึงตัดสินใจเลี้ยงสุกรในระบบคอนแทรคฟาร์มกับซีพีเอฟ เป็นการเลี้ยงในระบบปิดปรับอากาศด้วยการระเหยของน้ำ หรืออีแวป ปัจจุบันเธอมีโรงเรือนสำหรับเลี้ยงหมู่ที่สร้างไว้ในพื้นที่บริเวณบ้าน 5 โรงเรือน มีหมูขุน 3,750 ตัว และกาญจนาบอกว่า "ปิดประตูเสี่ยง” ไว้เรียบร้อยแล้ว
 
                       กระนั้นกว่าที่ กาญจนา จะตัดสินใจร่วมโครงการคอนแทรคฟาร์มกับซีพีเอฟ เธอเคยปฏิเสธระบบนี้มาแล้วก่อนหน้าหน้านั้น เพราะติดอยู่กับความคิดที่ว่า เคยทำฟาร์มสุกร หรือหมู ที่เป็นกิจการของตัวเองกว่า 25 ปี ถ้าทำธุรกิจกับบริษัท และก็ยังคิดเหมือนกับเกษตรกรอีกจำนวนไม่น้อยว่า ไม่มั่นใจในระบบนี้ เนื่องจากเห็นว่า กิจการฟาร์มหมูก็จะไม่ใช่ของตัวเองทั้งหมด หากจะถูกผูกขาดโดยบริษัทคู่สัญญา กระทั่งได้ศึกษาระบบอย่างจริงจังจึงเข้าใจว่า ฟาร์มหมู่ที่เลี้ยงยังคงเป็นเจ้าของเหมือนเดิม แต่ไม่มีความเสี่ยงเรื่องต้นทุนและการหาตลาดอย่างเมื่อก่อน
 
                       "ก่อนหน้าที่จะเป็นหนึ่งในสมาชิกคอนแทรคฟาร์มกับซีพีเอฟ พ่อแม่ของฉันได้วางรากฐานอาชีพเลี้ยงหมูขุนมาก่อน ตอนนั้นเราเลี้ยงหมูหลังบ้าน ให้อาหารที่ผสมเอง และทำตลาดในชุมชน เริ่มจากเลี้ยงหมูขุนประมาณ 30 ตัว จนเมื่อปี 2530 ฉันก็มารับช่วงต่อจากพ่อแม่อย่างจริงจัง จึงได้ขยายการเลี้ยงหมูขุนเพิ่มเป็น 100 ตัว โดยควบคู่ไปกับงานประจำคือการเป็นครูสอนนักเรียนระดับมัธยมต้น ต่อมาทดลองเลี้ยงพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์หมูเอง 30 แม่ เพื่อผลิตลูกหมูสำหรับขุนต่อ โดยเลือกเลี้ยงแม่พันธุ์ดำเนินมาราวๆ 4 ปี พบว่าการเลี้ยงมีความยุ่งยาก การจัดการจุกจิก และไม่ค่อยมีเวลามาดูแลกิจการ เพราะต้องสอนหนังสือด้วย สุดท้ายต้องเลิกเลี้ยงแม่หมู แล้วหันมาขยายฟาร์มหมูขุนเป็น 500 ตัวแทน" กาญจนา กล่าว 
 
                       ด้วยภาระที่ต้องเลี้ยงหมูเอง และหาตลาดเอง ทำให้พบกับอุปสรรคทั้งด้านต้นทุนค่าใช้จ่ายในการจัดการต่างๆค่อนข้างสูง ทั้งค่าลูกหมู อาหาร ยาและวัคซีน ที่ต้องลงทุนเองหมด นอกจากนี้ราคาหมูในท้องตลาดยังขึ้นลงไม่แน่นอน อาชีพนี้จึงทำให้พอมีกำไรอยู่ได้บ้าง แต่ก็ไม่มากอย่างที่หวัง แถมยังสร้างความเครียดให้เมื่อต้องประสบภาวะราคาตกต่ำหรือหาตลาดรับซื้อผลผลิตไม่ได้ด้วย 
 
                       “ตอนนั้นพี่ๆ น้องๆ ที่เลี้ยงหมูอยู่กับซีพีเอฟมากว่า 10 ปีแล้ว ได้ให้คำปรึกษาว่า เราควรจะตัดสินใจกับอาชีพนี้ได้แล้ว เพราะเกรงว่าอาจจะอยู่ไม่ได้หากยังแบกรับภาระอยู่ สุดท้ายจึงมาศึกษาระบบคอนแทรคฟาร์มเพื่อให้รู้จักและเข้าใจในระบบนี้จริงๆ จนกลางปี 2555 เริ่มสร้างฟาร์มเลี้ยงหมูขุน จากโรงเรือนระบบเปิดที่ทำมากว่า 25 ปี มาสร้างโรงเรือนระบบปิดหรืออีแวปและการทำไบโอแก๊ส ครั้งแรกสร้างจำนวน 4 โรงเรือน ความจุหมูขุน 3,000 ตัว พบว่าผลการเลี้ยงดีกว่าที่เคยทำมาเป็นอย่างมาก ในปี 2556 จึงขยายโรงเรือนเพิ่มอีก 1 หลัง รวมลงทุน 6 ล้านบาท ปัจจุบันเลี้ยงหมูขุนรวม 5 โรงเรือน ความจุ 3,750 ตัว  สามารถสร้างรายหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วตกปีละ 1 ล้าน มั่นใจไม่เกิน 4 ปีสามารถคืนทุนแน่นอน" เธอกล่าวอย่างมั่นใจ 
 
                       หลังจากเลี้ยงหมูในระบบคอนแทรคฟาร์มมิ่งแล้ว พบว่าระบบนี้เป็นการแบ่งงานกันทำอย่างชัดเจน บริษัทคู่สัญญาจะรับผิดชอบในด้านการจัดหาวัตถุดิบในการผลิตทั้งลูกหมู อาหารหมู ยา-วัคซีน รวมถึงการดูแลและให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดของผู้ชำนาญการ รวมทั้งสัตวบาลและสัตวแพทย์ตลอดการเลี้ยง ส่วนเกษตรกรจะทำหน้าที่เลี้ยงและดูแลหมูขุนให้ได้ตามมาตรฐาน ทั้งการให้อาหารและการจัดทำวัคซีนตามระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น
 
                       ส่วนรายได้นอกจากจะได้จากการขายหมูขุนให้ ซีพีเอฟแล้ว กาญจนา บอกว่า การผลิตไบโอแก๊สเองทำให้ต้นทุนการผลิตอย่างเช่น ค่าไฟฟ้าก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และการผลิตไบโอแก๊สจากมูลสุกรก็จะช่วยตอบโจทย์ให้แก่มิ่งสกุลฟาร์มได้อย่างดีว่า สามารถลดต้นทุนค่ากระแสไฟฟ้า จากเดิมก่อนที่ต้องเสียค่าไฟต่อเดือน 8 หมื่นบาท แต่ปัจจุบันเหลือเดือนละเพียง 2 หมื่นบาท ลดค่าไฟฟ้าได้ถึง 75% ที่สำคัญประโยชน์ของไบโอแก๊สนอกจากเรื่องลดต้นทุนค่าไฟฟ้าแล้ว จุดสำคัญที่เราได้รับคือ ตัดปัญหาเรื่องกลิ่นรบกวนชุมชนได้ 100% ทำให้ทุกวันอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างไร้ปัญหา
 
                       แม้ใครจะมองว่า การเลี้ยงหมู่ในรูปแบบของคอนแทรคฟาร์มมิ่ง จะเป็นอย่างไร แต่สำหรับ "กาญจนา มิ่งสกุล" หรือครูแอ๊ด บอกว่า เธอได้ปิดประตูความเสี่ยงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 
 
 
 
รูปแบบทำเกษตร"พันธสัญญา
 
 
                       สำหรับทำเกษตรในรูปแบบคอนแทรคฟาร์มมิ่งจะมีรูปแบบในการจัดการเป็นระบบระเบียบ และทำหน้าที่ดูแลให้กระบวนการผลิตเป็นไปตามมาตรฐานเพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพสู่ผู้บริโภค ลดความเสี่ยงด้านการตลาดแทนเกษตรกร เนื่องจากจะมีการแบ่งเป็น 3 รูปแบบหลัก คือ การประกันรายได้ ทำให้เกษตรกรที่ไม่มีประสบการณ์ทั้งด้านการผลิตและการตลาด จึงไม่มั่นใจต่อรายได้ที่จะได้รับ ส่วนใหญ่จะใช้ในประเทศด้อยพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนา
 
                       รูปแบบที่สองคือ การประกันราคา มักเป็นเกษตรกรที่มีประสบการณ์ แต่ไม่อยากมีความเสี่ยงด้านราคาผลผลิตและการหาตลาด รูปแบบนี้นำมาใช้ในประเทศด้อยพัฒนา และประเทศที่กำลังพัฒนาเป็นส่วนใหญ่ และรูปแบบสุดท้าย การประกันตลาด เป็นเกษตรกรที่มีเงินทุนและพร้อมเสี่ยงกับภาวะราคา แต่ไม่อยากทำตลาด เพราะไม่มีความชำนาญ โดยมากจะใช้ในประเทศที่พัฒนาแล้ว 
 
 
............................
 
(พิสูจน์เลี้ยงหมู'คอนแทรคฟาร์มมิ่ง' อีกหนึ่งตัวอย่างที่'มิ่งสกุลฟาร์ม' : คอลัมน์ท่องโลกเกษตร )