ข่าว

เดือด!'สไนเปอร์'ซุ่มยิงผู้ประท้วง

เดือด!'สไนเปอร์'ซุ่มยิงผู้ประท้วง

21 ก.พ. 2557

'ยูเครน' ปะทะเดือด 'สไนเปอร์' ซุ่มยิงผู้ชุมนุม ขณะที่การประท้วง 'เวเนซุเอลา' ลุกลาม - ปธน.ขู่ไล่ 'ซีเอ็นเอ็น' ออกนอกประเทศ

 

                      21 ก.พ. 57  การปะทะกันระหว่างตำรวจปราบจลาจลและผู้ประท้วงยูเครนที่ยืดเยื้อ 3 วันจนถึงเมื่อวาน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 75 คนแล้ว และอาจเพิ่มสูงขึ้น โดยมีทั้งสไนเปอร์ซุ่มยิงผู้ประท้วง และตำรวจถูกผู้ชุมนุมจับเป็นตัวประกัน นับเป็นเหตุนองเลือดที่สุดนับตั้งแต่สมัยโซเวียต แต่มีข่าวสะพัดว่าประธานาธิบดียอมถอย จะจัดเลือกตั้งก่อนกำหนดแล้ว

                      กรุงเคียฟกลายเป็นสมรภูมเดือดที่มีการปะทะนองเลือดที่สุดเมื่อวาน นับตั้งแต่รัฐบาลใช้กำลังเข้าสลายผู้ชุมนุมที่จตุรัสเอกราชในกรุงเคียฟเมื่อวันอังคาร แม้ว่ารัฐบาลและแกนนำฝ่ายค้านยอมทำข้อตกลงสงบศึกในวันพุธแล้วก็ตาม โดยมีตำรวจใช้กระสุนจริงยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุม และมีหน่วยสไนเปอร์ หรือมือปืนซุ่มยิงของรัฐบาลยิงจากโรงแรมใส่กลุ่มผู้ประท้วง ขณะที่ผู้ประท้วงตอบโต้ด้วยการขว้างระเบิดเพลิงและบางคนยิงตอบโต้ใส่ตำรวจด้วย โดยเหยื่อหลายคนมีร่องรอยการถูกยิงด้วยกระสุนเพียงนัดเดียว ซึ่งเป็นลักษณะของการยิงของสไนเปอร์ และมีภาพวิดีโอเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต ที่เห็นชัดเจนว่าสไนเปอร์ยิงใส่ผุ้ประท้วงที่พยายามชิงพื้นที่ชุมนุมในจตุรัสคืนจากตำรวจ แต่กระทรวงกลาโหมแย้งว่าเป็นสไนเปอร์ฝั่งผู้ประท้วงยิงใส่ตำรวจ

                      นอกจากนี้ผู้ประท้วงควบคุมตัวตำรวจ 67 นายไว้เป็นตัวประกันภายในศาลาว่าการกรุงเคียฟที่ยึดไว้ได้ แต่ต่อมาได้ยอมปล่อยตัวแล้ว และสถานการณ์ในบริเวณจตุรัสเอกราชยังคงตึงเครียดตลอดทั้งคืน โดยผู้ประท้วงยังคงเฝ้าแนวเบอร์ริเออร์ที่ตั้งไว้เพื่อเตรียมรับมือหากตำรวจปฏิบัติการระลอกใหม่

                      กระทรวงมหาดไทยแจ้งว่า ความรุนแรงตลอด 3 วันทำให้มีผู้เสียชีวิต 75 คนแล้ว ซึ่งรวมถึงตำรวจจำนวนหนึ่ง และมีผู้บาดเจ็บ 571 คน แต่สื่อรายงานว่าตัวเลขที่แท้จริงอาจสูงกว่านี้ โดยบางสำนักระบุว่าเฉพาะวันพฤหัสบดีวันเดียวมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 70 คน และบาดเจ็บราว 500 คน ซึ่งจะทำให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตพุ่งเกิน 100 ราย

                      ขณะที่นายกเทศมนตรีกรุงเคียฟ นายโวโลดิมีร์ มาเกเยนโก้ ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรครีเจียนส์ ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลเพื่อประท้วงต่อการใช้ความรุนแรงจนเกิดการนองเลือด

                      ส่วนประธานาธิบดียานูโควิช กล่าวโทษว่า ผู้ประท้วงเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงสงบศึกและใช้ความรุนแรงก่อน และการขอเจรจาและหยุดยิงเป็นเพียงการซื้อเวลาเพื่อ ระดมคนและอาวุธมาให้กับผู้ประท้วง

                      นอกจากบรรยากาศการสู้รบนองเลือดบนท้องถนนแล้ว การประชุมในสภาผู้แทนราษฎรก็ร้อนระอุด้วยเช่นกัน โดยมีสมาชิกสภาวางมวยกันเล็กน้อย แต่ในที่สุดที่ประชุมสามารถลงมติประณามเหตุรุนแรงนองเลือด และสั่งห้ามการใช้อาวุธปราบปรามผู้ชุมนุม รวมทั้งให้ถอนกำลังทหารที่ประจัญหน้าผู้ชุมนุมกลับเข้ากรมกอง แต่ไม่รู้ว่าจะมีผลบังคับใช้ได้แค่ไหน

                      ส่วนประชาชนในกรุงเคียฟที่ตื่นตระหนกต่อสถานการณ์รุนแรงแห่ไปถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็มกันเป็นแถวยาว เพราะกลัวว่าหากเกิดอะไรขึ้น จะไม่สามารถถอนเงินได้ เลยต้องถอนออกมาไว้ก่อน

                      ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศจากฝรั่งเศส โปแลนด์ และเยอรมนี กำลังพยายามหาทางเจรจากับรัฐบาลและผู้ประท้วงยูเครน เพื่อหาทางยุติความขัดแย้ง และมีรายงานว่า ประธานาธิบดียานูโควิช ส่งสัญญาณพร้อมจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีก่อนกำหนดภายในปีนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องของผู้ประท้วงที่ผลักดันตลอดการชุมนุมนาน 3 เดือน

                      นอกจากนี้รัฐมนตรีของประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรป หรืออียู ที่ประชุมหารือกันในกรุงบรัสเซลส์ของเบลเยียม มีมติเมื่อวันพฤหัสบดีให้อายัดทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ยูเครนที่มีส่วนรับผิดชอบต่อการใช้ความรุนแรงสลายผู้ประท้วง และห้ามบุคคลเหล่านี้เดินทางเข้าประเทศสมาชิกอียู ก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งวัน สหรัฐก็ระงับวีซ่าเจ้าหน้าที่ยูเครนเกือบ 20 คน และล่าสุดกำลังพิจารณาว่าจะอายัดทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ยูเครนที่สั่งการสลายผู้ประท้วง

 

 

ประท้วง 'เวเนซุเอลา' ลุกลาม - ปธน.ขู่ไล่ 'ซีเอ็นเอ็น' ออกนอกประเทศ

 

                      สถานการณ์การประท้วงต่อต้านรัฐบาลในเวเนซุเอลายืดเยื้อเป็นวันที่ 9 และทวีความรุนแรง ทำให้รัฐบาลต้องระดมกำลังทหารเตรียมพร้อมรับมือ และประธานาธิบดีขู่ไล่สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นออกนอกประเทศกรณีรายงานการชุมนุมประท้วง

                      ผู้ประท้วงยังคงเดินหน้าชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทั้งในกรุงคารากัสและหลายเมืองใหญ่ทั่วประเทศเมื่อวาน เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อปัญหาสารพัดที่รุมเร้าประเทศทั้งการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค อัตราเงินเฟ้อสูง อัตราว่างงานสูง และอาชญากรรมระบาดหนัก และนายเอนริเก้ คาปริเลส ผู้นำพรรคฝ่ายค้านและอดีตผู้สมัครประธานาธิบดี เรียกร้องให้รัฐบาลปลดอาวุธของกองกำลังผู้สนับสนุนรัฐบาล ที่พุ่งเป้าโจมตีผู้ประท้วง พร้อมกับแสดงหลักฐานคลิปวิดีโอที่เผยให้เห็นขณะเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ความรุนแรงกับผู้ประท้วง

                      ขณะที่กระทรวงมหาดไทยส่งกองกำลังทหารไปยังรัฐ ทาชิร่า ที่อยู่ติดชายแดนประเทศโคลัมเบีย ที่มีการประท้วงอย่างรุนแรงเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย

                      การประท้วงตลอดกว่าหนึ่งสัปดาห์ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 12 ก.พ.และเกิดการปะทะกับตำรวจที่ใช้กำลังเข้าสลายผู้ชุมนุม ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 6 คนและบาดเจ็บกว่า 100 คนแล้ว โดยรวมถึงอดีตนางงามวัยเพียง 21 ปีที่ถูกยิงศีรษะระหว่างชุมนุมประท้วงและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่ผ่านมาการชุมนุมส่วนใหญ่เป็นไปโดยสงบ แต่มีกลุ่มผู้ประท้วงเพียงจำนวนหนึ่งตระเวนปล้นปั๊มน้ำมัน และจุดไฟเผาขยะเพื่อปิดกั้นถนน ทำให้ตำรวจและทหารต้องใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยาง และฉีดน้ำสลายผู้ประท้วง

                      นอกจากนี้กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลที่มีสีแดงเป็นสีสัญลักษณ์ร่วมชุมนุมในกรุงคารากัสเมื่อวานเพื่อแสดงพลังสนับสนุนประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร่ ที่เผชิญการท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อปีที่แล้ว หลังการอสัญกรรมของอดีตประธานาธิบดีฮูโก้ ชาเวซ

                      ประธานาธิบดีมาดูโร่ แถลงทางโทรทัศน์กล่าวหาว่าฝ่ายผู้ประท้วงเป็นฝ่ายใช้ความรุนแรง พร้อมกับยืนยันว่าไม่มีพวกใช้ความรุนแรงในกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาล นอกจากนี้เขากล่าวตำหนิการรายงานข่าวการประท้วงโดยสำนักข่าวต่างชาติ โดยบอกว่าจะไม่ยอมรับสงครามโฆษณาชวนเชื่อ และหากสำนักข่าวใดไม่เปลี่ยนพฤติธรรม ก็ออกไปให้พ้น พร้อมกับระบุชื่อสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นของสหรัฐด้วย

                      เมื่อสัปดาห์ที่แล้วรัฐบาลก็เพิ่งสั่งระงับการถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ช่อง NTN24 ของโคลัมเบียที่แพร่ภาพผ่านทางช่องเคเบิลของเวเนซุเอลา และในสัปดาห์นี้ประธานาธิบดีมาดูโร่สั่งเนรเทศนักการทูตสหรัฐ 3 คนออกจากเวเนซุเอลา โดยกล่าวหาว่าสนับสนุนการชุมนุมประท้วงเพื่อโค่นล้มรัฐบาล

 

 

------------------------

(หมายเหตุ : ที่มาภาพ : AFP)