
'องอาจ'โวยม็อบกปปส.ถูกก่อกวน
'องอาจ' โวยม็อบ กปปส.ถูกก่อกวน จี้ 'ปู' วางมาตรการป้องกัน-ดูแลรักษาความปลอดภัยปชช. หวั่นเกิดเหตุปะทะซ้ำ แนะฟัง 'กกต.' หนุนเลื่อนเลือกตั้ง เลิกฟังคำสั่ง 'แม้ว'
11 ม.ค.57 นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พื้นที่กทม. แถลงถึงกรณีการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) จังหวัดปทุมธานีและกลุ่มคนเสื้อแดงปทุมธานี เมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งการลอบยิงการ์ด กปปส.ที่บริเวณสี่แยกคอกวัวเมื่อเช้ามืดวันที่ 11 ม.ค.นี้ว่า เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องของการใช้ความรุนแรง และจากเหตุการณ์ดังกล่าวไม่สามารถอาศัยอำนาจรัฐเข้ามาควบคุมได้เลย แต่กลับปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่าจะไม่เป็นผลดีต่อการชุมนุม
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่รัฐบาลปล่อยให้เหตุการณ์ลักษณะนี้ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่ดำเนินการจับกุม หรือส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปดูแลความสงบเรียบร้อยอย่างจริงจัง แต่ปล่อยให้เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เท่ากับว่ารัฐบาลมีส่วนรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ หรือมีวัตถุประสงค์ใดๆที่แอบแฝง ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ในทำนองนี้หรือไม่
นายองอาจ กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลไม่รู้เห็นหรือมีวัตถุประสงค์รู้เห็นเป็นใจปล่อยให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงทำนองนี้เกิดขึ้น รัฐบาลควรมีมาตรการป้องกันมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทั้งช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาได้มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นกับผู้ชุมนุมหรือไม่อย่างไร เพราะหากไม่ใช่รัฐบาล ควรมีหาแนวทางป้องกันและวางมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยให้ผู้ชุมนุมด้วย จึงขอเรียกร้องนายกรัฐมนตรีว่าต้องให้คุ้มครองประชาชนทุกฝ่ายเพื่อไม่ให้เกิดเหตุปะทะซ้ำขึ้นอีก
'องอาจ' แนะ 'รบ.' ฟังเสียง 'กกต.' หนุนเลื่อนเลือกตั้ง
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พื้นที่กทม. แถลงว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีหลายหน่วยงานขององค์กรอิสระ ทั้งศาลรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถูกวิพากษ์วิจารณ์ และถูกต่อต้านจากคนในรัฐบาลต่อเนื่อง โดยกล่าวหาว่าหน่วยงานเหล่านี้ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างอิสระแท้จริง ซึ่งหลายครั้งเมื่อองค์กรอิสระหรือศาล ตัดสินคดีที่มีผลตรงข้ามคือไม่เป็นคุณประโยชน์กับรัฐบาล คนในรัฐบาลจะมีพฤติกรรมต่อต้าน และไม่ยอมรับการตัดสิน
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า แต่หากตัดสินเรื่องใดที่เป็นคุณประโยชน์ กับคนในรัฐบาลก็จะสรรเสริญและขอบคุณองค์กรเหล่านั้น ดังนั้นตราบใดที่คนในรัฐบาล ไม่สามารถยอมรับการตรวจสอบในการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดบทบาทหน้าที่ได้ ก็เสมือนการทำลายองค์กรอิสระอย่างสิ้นเชิง และสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลหรือคนในรัฐบาลเอง ที่เป็นตัวสร้างปัญหาประเทศ ไม่ใช่ประชาชนหรือหน่วยงานรัฐ
“ดังนั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ควรเอาหูทวนลมต่อข้อเสนอของกกต. และหากฟังเสียงของกกต.ประเทศไทยก็จะไม่ตกหลุมดำอย่างแน่นอน จึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าจะมีภาวะผู้นำและความกล้าหาญโดยไม่ฟังคำสั่งจากพี่ชายหรือไม่ เพราะการบริหารงานตลอด 2 ปีที่ผ่านมาน.ส.ยิ่งลักษณ์บริหารประเทศตามคำสั่งพี่ชายจนเกิดวิกฤตเช่นนี้ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่น.ส.ยิ่งลักษณ์จะพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งยังมีเวลาเพียงพอในการตัดสินใจก่อนถึงวันที่ 13 ม.ค. ทั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ ขอให้กำลังใจองค์กรอิสระในการทำหนัาที่ตรวจสอบอย่างเป็นธรรม ตรงไปตรงมาและยึดถือความถูกต้องต่อไป” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ส่วนกรณีที่กกต. มีมติเสนอเรื่องถึงนายกรัฐมนตรี ให้ยกร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งใหม่ว่า ทราบว่านายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารการเลือกตั้ง ได้เปิดเผยเรื่องนี้ พรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่า กกต. ต้องทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลฟังเสียงของกกต.ด้วย เพราะมีหน้าที่หลักในการดำเนินการเลือกตั้งให้มีความสุจริตและเที่ยงธรรมตามที่กฎหมายกำหนด
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีหลังมีการประกาศให้จัดการเลือกตั้ง 2 ก.พ.57 แต่ก็เกิดปัญหาต่างๆขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ และหากปล่อยให้เดินหน้าต่อ ทั้งที่เห็นว่าจะเกิดปัญหาขึ้นซ้ำอีกโดยไม่แก้ไขก่อน จะส่งผลต่อวันเลือกตั้ง 2 ก.พ.57 ก็อาจไม่ต่างจากวันรับสมัครแบบบัญชีรายชื่อ
“การที่รัฐบาลไม่ฟังเสียงกกต. ก็เสมือนรัฐบาลต้องการนำประเทศสู่หลุมดำเร็วขึ้นเท่านั้น ดังนั้นสิ่งสำคัญขณะนี้อยู่ที่ความจริงใจของรัฐบาล ที่ต้องกล้าตัดสินใจเพื่อแก้ปัญหาประเทศ เพราะตนยังเชื่อว่าประเทศยังมีทางออกเสมอ อยู่ที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ว่าจะดำเนินการแก้ไขหรือไม่เท่านั้น และขอให้องค์กรอิสระทำงานอย่างมีอิสระและมั่นคง โดยไม่ต้องสนใจเสียงนกเสียงกา แต่ขอให้ผดุงความยุติธรรมเพื่อเป็นบรรทัดฐานไม่ให้ผู้มีอำนาจทำผิด ทุจริตอีกต่อไป” นายองอาจ กล่าว
'ปชป.' ขอยิ่งลักษณ์หยุดเพิ่ม 4 วิกฤตชาติทำสังคมขัดแย้ง
นายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฐ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงการให้สัมภาษณ์ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ที่เปิดใจต่อสื่อมวลชนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ว่า นายกรัฐมนตรียังไม่เข้าใจสถานการณ์ และไม่เข้าใจวิกฤตประเทศในขณะนี้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร เพราะนายกฯยังท่องบทเดิมๆว่า ต้องเดินหน้าเลือกตั้ง และไม่สามารถลาออกได้ ที่สำคัญต้องรักษาอำนาจในตำแหน่งต่อไป
ถือเป็นการซ้ำเติมเพิ่มปัญหาวิกฤตต่างๆ ให้กับประเทศ คือ 1.นายกรัฐมนตรียังกดดันการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าต้องเดินหน้าจัดการเลือกตั้งให้ได้ โดยไม่ฟังมติจากกกต.ที่เสนอให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไปก่อน
2.การตั้งศอ.รส.ของนายกฯได้เพิ่มวิกฤตปัญหาความแตกแยกขึ้น เพราะศอ.รส.มีการแถลงข่าวที่บิดเบือนข้อเท็จจริง ทั้งการนำภาพตัดต่อมาประกอบ ใช้ภาพเก่า อ้างว่ามวลชนใช้ความรุนแรงกับเจ้าหน้าที่
3.รัฐบาลยังคงใช้อำนาจรัฐ ข่มขู่คุกคาม เอาเปรียบคู่แข่งทางการเมือง เช่น กรณีนายจารุพงษ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทยสั่งการให้ผู้ว่าฯจ.ชุมพร เอาผิดกับบรรดากำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่มาร่วมเวที กปปส.แต่ตัวเองกลับขึ้นเวทีเสื้อแดงปลุกระดมมวลชนเสียเอง รวมถึงการใช้สื่อต่าง ๆ ประชาสัมพันธ์โครงการของรัฐ ซึ่งถือเป็นการใช้ทรัพยากรของรัฐ โดยมิชอบ เพราะรัฐบาลอยู่ในช่วงรักษาการ
4. รัฐบาลยังสนับสนุนมวลชนเสื้อแดง ให้เผชิญหน้ากับกลุ่มที่เห็นต่าง จนเกิดเหตุปะทะมีคนบาดเจ็บ ทรัพย์สินเสียหายในพื้นที่จ.ปทุมธานีเมื่อวันที่10 ม.ค.ที่ผ่านมา ดังนั้นขอให้ทุกฝ่ายต้องช่วยกันแก้วิกฤต ไม่ใช่ซ้ำเติม โดยเฉพาะศอ.รส.ควรหยุดชี้นำและหยุดเพิ่มความขัดแย้งในสังคม
ขอย้ำถึงการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ว่าเป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ ซึ่งจากการเข้าพบ ผบ.ตร. เพื่อยื่นหนังสือให้เร่งติดตามคดีการลอบทำร้าย ข่มขู่ คุกคามในคดีต่างๆ อาทิ เหตุปะทะที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง มีผู้เสียชีวิต 2 ราย ประชาชนบาดเจ็บกว่า 60 ราย คดีโยนระเบิดเพลิงใส่บ้านผู้ที่ขึ้นเวที กปปส.
“จากการพูดจากับตัวแทนผบ.ตร.ที่มารับเรื่อง พบว่า หลายถ้อยคำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แสดงถึงทัศนคติของเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่เป็นมิตร ทัศนคติในการมองประชาชนผู้ชุมนุมเป็นลบ และมองว่าการชุมนุมคือจุดเริ่มต้นของปัญหา จึงขอเรียกร้องตำรวจให้ปรับทัศนคติต่อผู้เข้าร่วมชุมนุม เพราะจะเป็นปัญหาต่อการปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชน โดยขอให้ตำรวจมีความเป็นกลางเป็นธรรมในการปฎิบัติหน้าที่ในการดูแลรักษาความปลอดภัยให้ประชาชนทุกฝ่าย” นายจุฤทธิ์ กล่าว