ข่าว

ตีนแมวผู้กระชากหน้ากากเอฟบีไอ

ตีนแมวผู้กระชากหน้ากากเอฟบีไอ

12 ม.ค. 2557

ตีนแมวผู้กระชากหน้ากากเอฟบีไอ เผยตัวหลังปิดเป็นความลับ 43 ปี : คอลัมน์เปิดโลกวันอาทิตย์

                  ก่อนการถือกำเนิดของจอมโจรฉกและแฉ ความลับในยุคดิจิตอลอย่างเว็บไซต์ "วิกิลีกส์" และก่อนที่ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ตัดสินใจดาวน์โหลดแฟ้มโครงการสอดแนมลับสุดยอดของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ (เอ็นเอสเอ) จนทำให้สหรัฐอเมริกาตกที่นั่งลำบากอยู่ในเวลานี้ ยังมีบุคคลลึกลับ 8 คน ที่เคยกล้าบ้าบิ่นขนาดสะเดาะกุญแจเข้าไปขโมยเอกสารในสำนักงานของสำนักสืบสวนสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) บนถนนฟรอน์แอนด์เซาท์ เมืองมีเดีย รัฐเพนซิลวาเนีย เมื่อ 43 ปีก่อน 
 
                  ไม่กี่วันหลังจากนั้น เอกสารในซองขนาดใหญ่ถูกส่งไปถึงโต๊ะผู้สื่อข่าว นักการเมืองและนักเคลื่อนไหว ทำให้ชาวอเมริกันและโลกรับรู้ถึงการมีอยู่ของโครงการสอดแนมลับภายในประเทศอันกว้างขวางของเอฟบีไอ ภายใต้ เจ เอ็ดการ์ ฮูเวอร์ ผู้อำนวยการคนแรกและผู้สร้างอาณาจักรเอฟบีไอจนยิ่งใหญ่และมีอำนาจล้นฟ้า
 
                  เอฟบีไอภายใต้ฮูเวอร์ ใช้วิชามาร รวมถึงการแบล็กเมล บิดเบือนข้อมูล เปิดจดหมายส่วนตัว และปลอมแปลงเอกสาร โดยมีเป้าหมายที่จะปิดปากกลุ่มต่อต้านสงครามเวียดนามในหมู่นักศึกษา องค์กรสิทธิพลเรือนผิวสี ผู้ต้องสงสัยฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์และอื่นๆ อีกมากมาย
 
                  เมื่อเรื่องแดงออกมา สภาคองเกรสเปิดการไต่สวน และนำไปสู่การปฏิรูปลดขอบข่ายการสอดแนมพลเมืองตัวเองของรัฐบาลลง 
 
                  แต่คณะที่เครือข่ายสอดแนมที่ลึกและลับถูกเปิดโปงหมดเปลือก ปฏิบัติการไล่ล่าและกระชากหน้ากากตีนแมว 8 ชีวิต โดยทีมสอบสวนกว่า 200 คน กลับคว้าน้ำเหลว เพราะพวกเขาวางแผนอย่างแยบยล ไม่ทิ้งรอยนิ้วมือ ไม่มีพยานวัตถุใดๆ เอฟบีไอสอบปากคำผู้ต้องสงสัยราว 2,000 คน สร้างแฟ้มประวัติของผู้ต้องสงสัย 7 คน แต่ผิดพลาดเกือบทั้งหมด
 
                  กลายเป็นปริศนาที่ยังไขมาไม่ได้กระทั่ง 43 ปีผ่านมา พวกเขา 5 คนจาก 8 คน ตัดสินใจเปิดตัว และให้ความร่วมมือกับ เบตต์ เมดส์เจอร์ อดีตผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ซึ่งเป็นคนแรกที่ตีพิมพ์เนื้อหาในเอกสารที่ทั้งแปดขโมยจากเอฟบีไอ และเขียนหนังสือเล่มใหม่ "The Burglary: The Discovery of J. Edgar Hoover's Secret FBI
 
                  จึงเพิ่งรับทราบกันเป็นครั้งแรกว่า พวกเขาเหล่านั้นคือนักประท้วงต่อต้านสงครามผู้รักสันติภาพ และต้องการที่จะจุดประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับอำนาจสอดแนมชาวอเมริกันอย่างไม่มีใครตรวจสอบได้ และเป็นการเปิดหน้าในเวลาที่สหรัฐกำลังถกกันอีกครั้งว่า ความพอดีของการสอดแนมอยู่ที่ใดหลังการเปิดโปงของสโนว์เดน 
 
                  ห้าคนที่เปิดเผยตัวเป็นอดีตศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย 3 คน สตรีหนึ่งคนเป็นผู้อำนวยการศูนย์รับเลี้ยงเด็ก และคนขับรถแท็กซี่วัย 20 ปี ที่ฝึกสะเดาะกุญแจด้วยตัวเอง 
 
                  จากหนังสือของเมดส์เจอร์ ปฏิบัติการในคืนนั้นเป็นความคิดของ วิลเลียม เดวิดดัน ศาสตราจารย์ฟิสิกส์ วิทยาลัยฮาเวอร์ฟอร์ด ในเมืองฮาเวอร์ฟอร์ด รัฐเพนซิลวาเนีย นักเคลื่อนไหวต่อต้านสงครามวัย 44 ปีขณะนั้น เดวิดดันได้รวบรวมพรรคพวกต่อต้านสงครามที่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ฮูเวอร์ ที่กุมบังเหียนเอฟบีไอแบบกฎเหล็กกำลังสอดแนมพวกเขาอยู่อย่างแน่นอน แต่จะทำอย่างไรให้ได้หลักฐานมายืนยันสิ่งที่พวกเขาเชื่อและเพื่อที่จะให้สภาคองเกรสและประชาชนไม่นิ่งเฉยอีกต่อไป 
 
                  จอห์น เรนเนส ขณะนั้นเป็นศาสตราจารย์ศาสนา มหาวิทยาลัยเทมเพิล วัย 37 ปี (ปัจจุบันอายุ 80 ปี) บอกกับฟิลาเดลเฟีย อินไควเรอร์ ว่า "ตอนนั้น ฮูเวอร์ เป็นเหมือนเทพเจ้า ไม่มีใครในวอชิงตันคิดจะแตะต้อง จะทำอะไรกับเอฟบีไอก็ได้ที่อยากจะทำ เอฟบีไอเป็นของเขาคนเดียว คนอื่นไม่เกี่ยว"
 
                  สำนักงานเอฟบีไอในเมืองมีเดีย ห่างจากฟิลาเดลเฟียประมาณ 12 ไมล์ เป็นเป้าหมายที่ง่ายเมื่อเทียบกับในเมืองใหญ่ๆ 
 
                  พวกเขาใช้เวลาหลายสัปดาห์เก็บข้อมูล โดยใช้ห้องใต้หลังคาบ้านของจอห์น เรสเนส ในเมืองเจอร์มันทาวน์ เป็นวอร์รูม
 
                  โดยสองสัปดาห์ก่อนลงมือ บอนนี เรนเนส ภรรยาของจอห์น คุณแม่ลูกสามวัย 29 ปีขณะนั้น สวมแว่นตา รวบผมไว้ในหมวกไหมพรม ทำทีเป็นนักศึกษาเข้าไปสอบถามเรื่องสมัครงานกับเอฟบีไอ เพื่อเก็บข้อมูลด้าน รปภ.ภายในสำนักงานเล็กๆ แห่งนี้ และสังเกตเห็นว่าตู้เก็บเอกสารไม่ได้ล็อก และไม่มีระบบ รปภ.ไฟฟ้า  
 
                  ส่วน คีธ ฟอร์ซิธ คนขับแท็กซี่วัย 20 ปี ที่ร่วมประท้วงสงครามประจำ ถูกเลือกมาทำหน้าที่สำคัญคือ สะเดาะล็อกประตูสำนักงาน ที่เขาต้องฝึกฝนด้วยตัวเองอยู่นานทีเดียว 
 
                  คืนวันที่ 8 มีนาคม 2514 ที่พวกเขารอคอยก็มาถึง คืนที่ชาวอเมริกันหลายล้าน รวมถึงตำรวจ จดจ่อศึกแห่งศตวรรษ นัดชิงเข็มขัดแชมป์มวยโลกเฮฟวีเวท ที่เมดิสัน สแควร์ การ์เดน ระหว่างนักชกรุ่นเฮฟวีเวท โจ เฟรเซียร์ กับผู้ท้าชิง มูฮัมหมัด อาลี  ศึกนี้ไม่มีการถ่ายทอดทั้งทางโทรทัศน์และวิทยุในสหรัฐ แต่เครือข่ายกระจายเสียงทุกแห่งรายงานความคืบหน้าทุกยก การชกยืดเยื้อถึง 15 ยก ช่วยเบนความสนใจให้แก่นักย่องเบาสมัครเล่นได้เป็นอย่างดี
 
                  สิ่งเดียวที่คิดไม่ถึงระหว่างปฏิบัติการ คือ ตัวล็อกประตูเป็นระบบความปลอดภัยรุ่นใหม่ที่ฟอร์ซิธไม่ได้เตรียมตัวมา แต่ที่สุดก็หาทางเข้าไปจนได้ โดยแงะประตูอีกบานหนึ่ง ฟอร์ซิธเล่าว่า โล่งใจจนบอกไม่ถูก เพราะแผนเดิมคือต้องเข้าและออกในเวลาไม่เกินสองนาที แต่ที่สุดกลับต้องใช้เวลากับการเข้าออกร่วมชั่วโมง เมื่อพรรคพวกที่เหลือกวาดเอกสารในตู้ได้แล้ว ก็ขับรถไปยังบ้านในชนบทหลังหนึ่งและเริ่มอ่านเอกสาร จนชัดเจนว่าพวกเขาได้สิ่งที่ต้องการแล้ว 
 
                  ต่อมา พวกเขาเลือกใช้ชื่อ "คณะกรรมการพลเมืองสอบสวนเอฟบีไอ" ในการส่งเอกสารประมาณ 1,000 ชิ้นไปให้แก่ผู้สื่อข่าวจำนวนหนึ่ง
 
                  เมื่อเอกสารถูกเผยแพร่ออกไป พวกเขาถือว่าภารกิจเสร็จสิ้น จึงกลับไปดำเนินชีวิตปกติ และทำข้อตกลงว่าจะไม่พูดเรื่องนี้หรือพบกันอีกเพื่อเก็บเป็นความลับ 
 
                  จอห์นสอนหนังสือ ส่วนบอนนีบริหารศูนย์รับเลี้ยงเด็ก และดูแลลูกสามคน ทั้งสองยังอาศัยในเพนซิลวาเนีย
 
                  ส่วนคีธ ฟอร์ซิธ ต่อมาเป็นวิศวกร บ็อบ วิลเลียมสัน (ไม่ได้มาร่วมให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา) ตอนนั้นลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาร่วมต้านสงคราม ปัจจุบันอายุ 64 ปี ทำงานเป็นผู้ให้คำแนะนำด้านธุรกิจในเมืองอับบูเกอร์เก 
 
                  ส่วนเดวิดอน เสียชีวิตเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ปีที่แล้ว ในวัย 86 ปี ที่บ้านพักคนชราในโคโลราโด 
 
 
                  ส่วนอีกสามคนไม่มีการเปิดเผยชื่อ
 
                  ในช่วง 5 ปีก่อนคดีความหมดอายุ เป็นช่วงเวลาที่ตึงเครียดมาก มีเจ้าหน้าที่เอฟบีไอไปเยี่ยมบ้านของเรนเนส และมีช่วงหนึ่งที่ภาพสเก็ตช์ของบอนนี เรนเนส ขณะไปเยือนสำนักงานเอฟบีไอเพื่อดูลาดเลา ถูกเวียนไปทั่วสำนักงานเอฟบีไอ แต่ด้วยจังหวะและโชค ทำให้สองสามีภรรยารอดปลอดภัยมาจนคดีหมดอายุ  
 
 
                  เขย่าเอฟบีไอและสื่อ 
 
                  เมื่อเรื่องราวจากเอกสารลับเริ่มถูกเผยแพร่ออกไป เริ่มด้วยข่าวชิ้นแรกจากแฟ้มลับพาดหัว "Stolen Documents Describe FBI Surveillance Activities" หรือ "เอกสารที่ถูกขโมยเผยกิจกรรมสอดแนมของเอฟบีไอ" ปรากฏในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2514 โดยบายไลน์ชื่อของ เมดส์เจอร์ ชาวอเมริกันเริ่มตาสว่างเป็นครั้งแรกว่า เอฟบีไอภายใต้ เจ เอ็ดการ์ ฮูเวอร์ ไม่ได้เลิศเลออย่างที่คิด 
 
                  ระเบิดลูกใหญ่ที่สุดคือ เอกสารลับเหล่านี้ ที่เรียกกันว่า "มีเดียไฟล์" ตามชื่อที่ตั้งสำนักงานเอฟบีไอที่ถูกขโมย  นำไปสู่การเปิดโปงการมีอยู่ของโครงการต่อต้านข่าวกรอง (Counterintelligence Program) หรือเรียกสั้นๆ ว่า Cointelpro ช่วงปี 2503-2514 เป็นความพยายามของเอฟบีไอที่จะบ่อนทำลายขบวนการเคลื่อนไหวทุกวิถีทาง ด้วยการส่งสายข่าวแทรกซึมตอกลิ่มและสร้างความหวาดระแวงกันเองในหมู่ผู้มีความเห็นต่างจากรัฐบาล ทั้งในกลุ่มต่อต้านสงคราม สถาบันการศึกษาและชุมชนคนอเมริกันผิวสี  
 
                  อัปยศที่สุดคือ จดหมายที่สายลับเอฟบีไอส่งถึง มาร์ติน ลูเธอร์ คิง มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมนอกสมรสหวังแบล็กเมล์ทำให้ผู้รับฆ่าตัวตาย โดยมีประโยคหนึ่งที่ระบุว่า "คิง คุณมีทางเลือกเดียวเวลานี้ คุณน่าจะรู้นะว่าคืออะไร"
 
                  เมดส์เจอร์ กล่าวว่า ชาวอเมริกันช็อกมาก เอกสารเผยถึงพฤติกรรมสอดแนมอย่างกว้างไกล โดยเฉพาะชุมชนคนผิวสี เจ้าหน้าที่เอฟบีไอถูกกำหนดว่าจะต้องมีสายข่าวอย่างน้อยหนึ่งคนที่รายงานกิจกรรมต่างๆ ของคนผิวดำทุกสัปดาห์" 
 
                  Cointelpro เป็นหนึ่งในปฏิบัติการเลวร้ายที่สุดของฮูเวอร์ และจุดประเด็นถกเถียงระดับประเทศในเรื่องการรุกล้ำความเป็นส่วนตัว มาก่อนที่ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน จะเปิดโปงเอ็นเอสเอ และจุดประเด็นถกเถียงคล้ายกัน 
 
                  ฮูเวอร์ ยกเลิกโครงการ Cointelpro ในปี 2515 และคณะกรรมาธิการชุดหนึ่งของวุฒิสภาสรุปเมื่อปี 2519 ว่าละเมิดกฎหมาย
 
                  การขโมยเอกสารที่สำนักงานเอฟบีไอในเมืองมีเดีย ไม่ได้สะเทือนแต่ฮูเวอร์และเอฟบีไอเท่านั้น แต่ยังส่งแรงกระเพื่อมในแวดวงสื่อมวลชน เพราะผู้ส่งเอกสารไปยังสมาชิกรัฐสภาและหนังสือพิมพ์จำนวนหนึ่ง รวมถึงหัวใหญ่อย่างวอชิงตัน โพสต์ นิวยอร์กไทม์ส และลอสแองเจลิสไทม์ส เป็นไปแบบไม่เปิดเผยนาม
 
                   ฮูเวอร์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เรียกร้องให้ส่งเอกสารคืน โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินรัฐบาลที่ถูกลักขโมยไป หนังสือพิมพ์ในสหรัฐไม่เคยต้องแก้โจทย์แบบนี้ ไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรกับเอกสารที่รั่วโดยคนธรรมดาที่ไม่ได้มีตำแหน่งทางการ อีกทั้งเป็นการได้มาอย่างผิดกฎหมาย แคทเธอรีน เกรแฮม ที่เข้าไปรับหน้าที่บรรณาธิการบริหารวอชิงตันโพสต์สองปีก่อนเกิดเหตุ เป็นคนเดียวที่เผชิญหน้ากับฮูเวอร์กับนิกสัน และเดินหน้าตีพิมพ์แม้ถูกประท้วง
 
                  ส่วนนิวยอร์ฏไทม์ส และลอสแองเจลิส ไทม์ส แม้ตีพิมพ์เนื้อหาเช่นกันตามหลังโพสต์ และเชื่อกันว่าได้ส่งคืนเอกสารทั้งหมดแก่เอฟบีไอ 
 
                  ไมเคิล คอร์ตัน โฆษกเอฟบีไอ ระบุในแถลงการณ์ยอมรับว่า การขโมยเอกสารในคืนนั้น มีส่วนต่อการเปลี่ยนแปลงวิธีการที่เอฟบีไอใช้ระบุและจัดการภัยความมั่นภายใน นำไปสู่การปฏิรูปนโยบายสืบราชการลับและวิธีปฏิบัติของหน่วยงาน รวมถึงการสร้างแนวทางการสืบสวนของกระทรวงยุติธรรม 
 
                  ส่วนคำถามที่ว่า เหตุใดจึงออกจากเงามืดหลังเหตุการณ์ผ่านมา 40 กว่าปี คีธ ฟอร์ซิธ เล่าว่า อันที่จริง หลังจากคืนนั้น พวกเราทั้งแปดไม่มีความคิดจะเปิดเผยตัวเอง เพราะรู้ว่าจะต้องถูกลงโทษจำคุกสถานหนักฐานเปิดโปงพฤติกรรมผิดศีลธรรมของรัฐบาล แต่สิ่งที่พวกเขาตัดสินใจลงมือทำกลับมาเป็นจุดสนใจของประชาชนอีกครั้งหนึ่ง หลังวีรกรรมของสโนว์เดน 
 
                  "รัฐบาลของเราสอดแนมชาวอเมริกันแบบเหมารวมอีกครั้ง และโกหกต่อรัฐสภาอีกครั้ง เราหวังว่าการออกมาเปิดตัวอาจมีส่วนช่วยเล็กๆ ในการจุดประเด็นถกเถียงถึงความสำคัญระบอบประชาธิปไตย"
 
                  ด้าน บอนนี เรนเนส ที่กลายเป็นคุณยายวัย 72 กล่าวว่า "ดูเหมือนไม่มีใครกล้าที่จะขวางเอฟบีไอภายใต้ฮูเวอร์เลยในตอนนั้น เรารู้ว่าเอฟบีไอของฮูเวอร์กำลังทำอะไรในฟิลาเดเฟีย ในเรื่องการคุกคามและสอดแนมผิดกฎหมาย เราคิดว่า ควรต้องมีใครสักคนที่ต้องเผชิญหน้ากับฮูเวอร์ และต้องมีหลักฐานยืนยันในสิ่งที่เรารู้ว่ามันกำลังเกิดขึ้น" 
 
                  เธอมองว่า การเปิดโปงโครงการลับของเอ็นเอสเอของสโนว์เดน กับสิ่งที่พวกเธอได้ทำเมื่อ 43 ปีก่อน เปรียบเทียบกันได้ สโนว์เดนคือคนเป่านกหวีดที่ชอบธรรม และพวกเราก็น่าจะถูกเรียกว่า คนเป่านกหวีดเช่นกัน
 
                  ส่วน จอห์น เรนเนส ที่คร่ำหวอดกับการเคลื่อนไหวเรียกร้องความเท่าเทียมผิวสีและต่อต้านสงครามก่อนร่วมเป็นหนึ่งในทีมขโมยเอกสาร ตีเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างอาชญากรรมกับการละเมิดกฎ "เมื่อใดกฎหมาย สถาบันบังคับใช้กฎหมายและตีความกฎหมาย กลายเป็นอาชญากรรม ดังที่เกิดในเอฟบีไอของ เจ เอ็ดการ์ ฮูเวอร์แล้ว เมื่อนั้นหนทางเดียวที่จะหยุดยั้งอาชญากรรมได้คือการเปิดโปงสิ่งที่เกิดขึ้น"
 
 
..........................
 
(ตีนแมวผู้กระชากหน้ากากเอฟบีไอ เผยตัวหลังปิดเป็นความลับ 43 ปี : คอลัมน์เปิดโลกวันอาทิตย์ : โดย...อุไรวรรณ นอร์มา)