ข่าว

เสียงสะท้อนจากพ่อแม่นักศึกษารามฯ

เสียงสะท้อนจากพ่อแม่นักศึกษารามฯ

06 ธ.ค. 2556

เสียงสะท้อนจากพ่อแม่นักศึกษารามฯ...ในวันที่หัวใจสลาย : ทีมข่าวคมชัดลึก

              ค่ำคืนวันที่ 30 พฤศจิกายน อาจเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งของใครบางคนทั่วไป แต่สำหรับ ชาวรามคำแหง แล้ว ทุกชั่วโมง ทุกนาที และทุกวินาทีของค่ำคืนดังกล่าวจะเป็นวันแห่งความทรงจำที่ร้ายแรงเจ็บปวดรวดร้าวที่สุดในชีวิต เมื่อพี่น้องรามฯ ต้องสูญเสีย นายทวีศักดิ์ โพธิ์แก้ว นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เพื่อนร่วมสถาบันที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยคมกระสุนที่เกิดจากผลพวงความแตกแยกทางการเมืองในเหตุปะทะระหว่างนักศึกษารามฯ และกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน

              การสูญเสียครั้งนี้ แม้จะสร้างความเศร้าสะเทือนใจให้แก่พี่น้องชาวรามฯ และชาวไทยที่มีหัวใจรักความชอบธรรมและต้องการเห็นบ้านเมืองกลับสู่ความสงบร่มเย็นจากสถานการณ์บ้านเมืองที่อึมครึม และยังไม่รู้ว่าจะออกไปทางไหน แต่ทุกความเจ็บปวด และความเศร้าเสียใจที่บอกมาคงไม่เทียบเท่ากับเศษหนึ่งส่วนล้านของหัวอกคนเป็น "พ่อ-แม่" อย่างนายนราเมศ ธีระรังสิกุล อายุ 52 ปี และ นางสุรีย์ ธีระรังสิกุล อายุ 52 ปี ที่เฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูนายทวีศักดิ์ตั้งแต่ลืมตามาดูโลก แต่วันนี้ทั้งสองคนกลับต้องมานั่งทำศพลูกด้วยหัวใจที่แตกสลาย ณ บ้านเกิดที่ จ.สิงห์บุรี

              ภาพความทรงจำต่างๆ ใน วันชื่นคืนสุขของครอบครัวที่เคยมีพ่อ-แม่-ลูก อยู่พร้อมหน้าผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ท่ามกลางคราบน้ำตา และหัวใจที่แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ โดย นายนราเมศ เล่าย้อนอดีตถึงบุตรชายที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับว่า เมื่อลูกยังเล็กครอบครัวได้ส่งให้ไปอยู่กับตาที่ ต.บางมัญ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี ทำให้ลูกต้องใช้นามสกุลของตาคือโพธิ์แก้ว จากนั้นอีกหลายปีเมื่อลูกจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จึงย้ายมาอยู่ด้วยกันที่ ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี โดยในช่วงที่ลูกเรียนในมหาวิทยาลัยรามคำแหงได้ขออนุญาตไปเช่าหอพักอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย เพื่อสะดวกกับการเดินทาง โดยจะกลับบ้านเฉพาะเสาร์-อาทิตย์

              "วันเกิดเหตุลูกกลับมาที่บ้าน แต่ไม่ได้คุยกัน เพราะผมมีธุระ กระทั่งช่วงเย็นเมื่อกลับมาบ้าน ลูกได้นำพัดลม และหมอนไปด้วย ตอนนั้นคิดว่าคงเอาไปใช้เพิ่มเติมที่หอพัก กระทั่งเวลาประมาณ 21.00 น. ภรรยาโทรมาบอกว่า ลูกถูกยิงอยู่ที่โรงพยาบาลรามคำแหง เมื่อไปถึงทราบว่า ลูกเสียชีวิตจากการถูกยิงในเหตุชุลมุนระหว่างนักศึกษารามคำแหงกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน" นายราเมศ กล่าว

              นายนราเมศ เล่าด้วยความสะเทือนใจต่อว่า ระหว่างอยู่ที่โรงพยาบาลรามคำแหง ตำรวจเข้ามาสอบสวน และขอให้ไปแจ้งความที่ สน.หัวหมาก เพราะเป็นท้องที่เกิดเหตุ แต่ไปไม่ถูกเนื่องจากไม่ชำนาญเส้นทางจึงว่าจ้างมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แต่ไม่มีใครกล้าไป เพราะกลัวเหตุร้าย เนื่องจากสถานการณ์ในขณะนั้นยังคงรุนแรง จึงเปลี่ยนเป็นการว่าจ้างรถแท็กซี่ให้ไปส่งที่ สน.หัวหมาก

              "คนขับบอกกับผมว่าไปส่งได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น หลังจากนั้นต้องเดินไปเอง หลังจากแจ้งความเสร็จผมกลับมายื่นหลักฐานการแจ้งความให้โรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลจึงออกใบมรณบัตรให้ และนำศพลูกส่งต่อไปที่สถาบันนิติเวช ก่อนจะเคลื่อนศพลูกมาที่ จ.สิงห์บุรี  ผมรู้สึกเสียใจ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ รู้เพียงว่า เหตุเกิดจากการชุมนุม เรื่องนี้ต้องให้ตำรวจมาสอบสวน  หลายครั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ที่ภาคใต้จะมีนักข่าวมาสัมภาษณ์ผู้สูญเสียบุตรหลานในเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า เสียใจไหม มีความรู้สึกอย่างไร ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร เพราะไม่ได้เกิดกับเรา แต่วันนี้ผมสูญเสียลูกชาย ถึงรับรู้อย่างแท้จริงว่า การเป็นผู้สูญเสียมันมีความรู้สึกอย่างไร โดยเฉพาะการสูญเสียลูกอันเป็นที่รัก" นายนราเมศ กล่าว

              นายนราเมศ กล่าววิงวอนด้วยสายตาที่เศร้าโศกว่า อยากให้สังคมสงบสุข อยู่กันอย่างสันติ อยากให้ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับหลายชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ เป็นฟันเฟืองที่ร่วมขับเคลื่อนกลไก เพื่อให้สังคมเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่ถ้าวันนี้สังคมยังไม่ตระหนัก และยังคงต้องการที่จะใช้ความรุนแรงเข้าใส่กัน สิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่ยุติ และความสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจะเกิดขึ้นต่อไป

              ขณะที่ นางสุรีย์ เล่าถึงตัวตนของนายทวีศักดิ์ว่า ลูกชายสนใจการเมือง โดยที่ผ่านมาชอบที่จะชุมนุมทางการเมือง ซึ่งครอบครัวให้อิสระทางความคิดกับลูกในการตัดสินใจว่า จะทำอะไรก็ได้หากเป็นความต้องการ แต่ต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน และถูกทำนองคลองธรรม ทั้งนี้ที่ผ่านมาหากลูกจะไปร่วมชุมนุม หรือไปไหนก็จะโทรศัพท์มาแจ้งตลอดเวลา แต่วันเกิดเหตุลูกไม่ได้ติดต่อมาว่าจะไปร่วมชุมนุมที่ไหน อีกทั้งในวันนั้นเดินทางไปทำธุระที่ จ.อุบลราชธานี แต่เมื่อทราบเหตุการณ์ปะทะบริเวณมหาวิทยาลัยก็รู้สึกไม่ดี จึงโทรศัพท์หาลูกในเวลา 19.00 น. แต่ไม่มีสัญญาณ กระทั่ง   21.00 น. ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลว่าลูกเสียชีวิต เนื่องจากถูกยิงด้วยอาวุธปืน โดยลูกกระสุนฝังในที่สีข้างด้านซ้าย

              "ดิฉันเสียใจมากที่ต้องมาสูญเสียลูกไปอย่างไม่มีวันกลับ และขอให้ผู้เกี่ยวข้องหาความถูกต้องและความยุติธรรมให้ลูกด้วย หลังเกิดเหตุทราบว่า ตำรวจจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยมาสอบสวน แต่หลักฐานคือกระสุนปืนเป็นคนละขนาด จึงยังไม่สามารถเชื่อมโยงได้ ที่เขาออกไปร่วมชุมนุมทางการเมือง เราไม่ได้ห้าม เพราะลูกมีสิทธิ์ที่จะแสดงออกถึงความรู้สึกว่าคิดอย่างไร เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์จะรุนแรงและมีผลออกมาในลักษณะนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า มาตรการป้องกันหรือระงับเหตุของตำรวจหละหลวมมาก และอยากเรียกร้องไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องว่า ต้องหาตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้ ไม่เช่นนั้นชีวิตผู้คนจะสูญเปล่าไปเรื่อยๆ กลายเป็นเหตุการณ์ซ้ำซาก" นางสุรีย์ กล่าวด้วยความสะเทือนใจ

              นางสุรีย์ กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า อยากแนะนำไปถึงเยาวชนว่า การไปร่วมชุมนุมทางการเมืองไม่ใช่สิ่งผิด ทุกคนไปร่วมได้ แต่ต้องระมัดระวังอันตราย ต้องใส่ใจในความปลอดภัยของตัวเอง เพราะยังมีผู้ที่เป็นห่วงอยู่ข้างหลัง ต้องระมัดระวังตัวอย่ามุทะลุ ให้มีสติ  และ การเสียชีวิตของลูกชายหากเปลี่ยนแปลงประเทศได้ถือว่าคุ้มค่า...
                                                                                                                                                        
..................................


(หมายเหตุ : เสียงสะท้อนจากพ่อแม่นักศึกษารามฯ...ในวันที่หัวใจสลาย : ทีมข่าวคมชัดลึก)