
'นายกฯ'ซัดม็อบพยายามก่อรัฐประหาร
ชาวยูเครนยกระดับชุมนุมประท้วง ยึดอาคารหน่วยราชการ กดดันให้ปธน.ลาออก ขณะที่นายกฯ กล่าวหาการประท้วงครั้งนี้ เป็นความพยายามก่อรัฐประหาร
3 ธ.ค. 56 ผู้ประท้วงชาวยูเครนกว่า 15,000 คน ปักหลักชุมนุมรอบจตุรัสอินดิเพนเดนซ์ในกรุงเคียฟ เมืองหลวงเมื่อคืนวาน ท่ามกลางอากาศหนาวจัด และประกาศว่าจะไม่ยอมยุติจนกว่า รัฐบาล ประธานาธิบดี และรัฐสภา จะถูกขับพ้นตำแหน่งทั้งหมด การประท้วงครั้งนี้มีขึ้นจากกระแสไม่พอใจของประชาชนกรณีรัฐบาลระงับการลงนามข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเมืองกับสหภาพยุโรปเมื่อ 21 พ.ย. ทำให้ประเทศเผชิญวิกฤตการเมืองครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี
การประท้วงครั้งนี้ที่ยืดเยื้อนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ นำโดยพรรคฝ่ายค้าน 3 พรรค และเพิ่งประกาศผนึกกำลังเป็นพันธมิตรฝ่ายค้าน นอกจากนี้ยังร่วมกันยื่นญัตติต่อรัฐสภาเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลในวันนี้ และเรียกร้องให้ถอดถอนประธานาธิบดีวิคเตอร์ ยานูโควิช รวมทั้งดำเนินคดีอาญากับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้กำลังปราบปรามพลเรือนผู้บริสุทธิ์ในการชุมนุมเมื่อสุดสัปดาห์
การประท้วงกลายเป็นเหตุรุนแรงเมื่อวันเสาร์เมื่อตำรวจใช้กำลังสลายผู้ชุมนุม ทำให้ประชาชนออกมาร่วมชุมนุมด้วยความโกรธแค้นมากกว่า 1 แสนคนในวันอาทิตย์ ซึ่งมีการบุกยึดศาลาว่าการกรุงเคียฟ และพยายามปิดล้อมทำเนียบประธานาธิบดี และการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมและตำรวจตลอดสองวันทำให้มีผู้บาดเจ็บเกือบ 190 คน ซึ่งมีทั้งผู้ประท้วง ตำรวจ รวมถึงนักข่าวอีกกว่า 40 คน และเมื่อวันจันทร์ผู้ประท้วงยังคงปิดล้อมหน่วยราชการ และตั้งเครื่องกีดขวางปิดกั้นถนนหลายสาย รวมทั้งประกาศนัดหยุดงานประท้วงทั่วประเทศ
อดีตแชมป์มวยโลก วิทาลี กลิตช์โก้ หนึ่งในแกนผู้นำประท้วง บอกด้วยว่า แกนนำพรรคฝ่ายค้านทั้ง 3 คนไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ แต่หากมีประชาชนเป็นแสนเป็นล้านคน รัฐบาลจะทำอะไรไม่ได้ นอกจากนี้แกนนำผู้ประท้วงอีกคน บอกว่า นี่ไม่ใช่การประท้วง แต่เป็นการปฏิวัติ
ขณะที่นายกรัฐมนตรี มิคโคล่า อาซารอฟ ชี้แจงกับเอกอัครราชทูตหลายชาติเมื่อวานว่าฝ่ายค้านมีแผนยึดสภา และระบุว่าการประท้วงที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณของการก่อรัฐประหาร แต่รัฐบาลจะอดทนอดกลั้น ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายว่ารัฐบาลจะปล่อยให้ทำอะไรก็ได้ หลังจากนั้นโฆษกทำเนียบขาวของสหรัฐ แถลงโต้แย้งว่า สหรัฐไม่คิดว่าการชุมนุมโดยสันติเป็นความพยายามก่อรัฐประหาร และบอกว่าการใช้ความรุนแรงกับผู้ประท้วงเมื่อวันเสาร์เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
สถานการณ์ประท้วงในขณะนี้เป็นครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่การปฏิวัติสีส้มของยูเครนระหว่างปี 2547 ที่ประชาชนลุกฮือขับไล่นายยานูโควิชจนพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
และยานูโควิช ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานาธิบดี แสดงความเห็นครั้งแรกต่อการชุมนุมขับไล่เขาครั้งล่าสุด โดยเรียกร้องให้ทั้งตำรวจและผู้ประท้วงเคารพกฎหมาย และให้สัมภาษณ์ทางทีวี ที่มีการเผยแพร่ในเว็บไซต์ของตัวเอง ระบุว่า สันติภาพที่เปราะบางยังดีกว่าสงครามที่ยอดเยี่ยม
แม้ประเทศเผชิญสถานการณ์ยุ่งเหยิง มีรายงานว่า ยานูโควิชยืนยันจะเดินทางไปเอนจีนตามกำหนดในวันนี้ ที่มีเป้าหมายเอเจรจาเรื่องเงินกู้และการลงทุนเพื่อหาทางแก้ไขวิกฤติหนี้ในประเทศ แต่นักวิเคราะห์บอกว่า ขณะนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะไปต่างประเทศ และหากประธานาธิบดีไม่อยู่ จะทำให้การเจรจากับฝ่ายค้านทำได้ยากยิ่งขึ้น
----------------------
(หมายเหตุ : ที่มาภาพ : AFP)