ข่าว

'ปึ้ง'วอนรอฟังศาลโลกชี้ขาด'พระวิหาร'

'ปึ้ง'วอนรอฟังศาลโลกชี้ขาด'พระวิหาร'

09 พ.ย. 2556

'ปึ้ง'วอน'ประชาชน'รอฟังศาลโลกชี้ขาด'พระวิหาร' ย้ำไร้ทับซ้อน ห่วงพวกปลุกกระแส ให้ข้อมูลไม่จริงแก่ปชช. ย้ำ รัฐมีแผนรองรับแล้ว

                9 พ.ย.56 นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จัดรายการ"รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน"วอนรอฟังศาลโลกตัดสินคดีปราสาทเขาพระวิหาร ย้ำไร้ทับซ้อน

               นายสุรพงษ์  กล่าวถึงกรณีที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) จะอ่านคำพิพากษาคดีข้อพิพาทไทย-กัมพูชา กรณีปราสาทพระวิหาร ที่ทางกัมพูชาร้องให้ศาลโลกพิจารณาคำตัดสินปี 2505 วันที่ 11 พ.ย.นี้ ว่า เรื่องนี้ต้องกล่าวย้อนไปในอดีตกรณีข้อพิพาทปราสาทพระวิหารนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2502 ซึ่งกัมพูชาได้ยื่นร้องต่อศาลโลกในกรณีนี้ และในที่สุดเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2505 ในสมัยรัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ศาลโลกได้มีคำพิพากษาให้ปราสาทพระวิหารอยู่บนดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา และให้ไทยถอนทหารและตำรวจออกจาตัวปราสาท พร้อมให้คืนวัตถุโบราณที่อาจได้นำออกจากตัวปราสาทพระวิหารให้กับกัมพูชาในที่สุด

               นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า ในทันทีที่ศาลมีคำพิพากษา วันที่ 3 ก.ค.2505 รัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 แสดงความไม่เห็นด้วย ต่อคำพิพากษาของศาลโลก แต่ยอมปฏิบัติตามในฐานะสมาชิกองค์การสหประชาชาติ แถลงการณ์ฉบับที่ 2 วันที่ 6 ก.ค.2505 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น ได้ทำหนังสือไปถึงเลขาธิการสหประชาชาติ แจ้งว่า ไทยไม่เห็นด้วยต่อผลคำพิพากษาของศาลโลก แต่ก็จะปฏิบัติตามในฐานะสมาชิกองค์การสหประชาชาติ พร้อมสงวนสิทธิในการทวงคืนปราสาทพระวิหารโดยวิถีทางกฎหมาย ต่อจากนั้นในวันที่ 10 ก.ค. 2505 คณะรัฐมนตรีมีมติให้ปฏิบัติตามคำพิพากษา พร้อมกำหนดขอบเขตบริเวณใกล้เคียงตัวปราสาทพระวิหาร และให้สร้างป้ายแสดงเขตพร้อมสร้างรั้วลวดหนามโดยรอบตัวปราสาท จากนั้นวันที่ 15 ก.ค.2505 ไทยได้ถอนกำลังทหารออกจากตัวปราสาทพระวิหาร และได้เคลื่อนย้ายเสาธงออกจากพื้นที่โดยไม่ได้เชิญธงชาติไทยลงจากยอดเสา นี่คือ 4 เหตุการณ์หลังจากคำตัดสินของศาลโลกเมื่อปี 2505 ที่ต้องทำความเข้าใจกับประชาชน

               “รัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ประกาศชัดเจนว่า จะไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลโลก แต่ต้องปฏิบัติตามในฐานะสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ซึ่งในการเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ทำให้ประเทศไทยต้องเป็นภาคีของศาลโลกโดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลก ประเทศไทยต้องลาออกจากการเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศแน่นอน หากเราจะไม่รับคำตัดสินของศาลโลกเลย ประชาชนต้องร่วมกันตัดสิน และถ้าวันที่ 11 พ.ย.นี้ หากคำตัดของศาลโลกออกมาเป็นแนวทางลบ ยืนยันว่า รัฐบาลจะฟังเสียงประชาชนและนำเรื่องนี้เข้าหารือต่อรัฐสภา เพื่อร่วมกันตัดสินใจ”นายสุรพงษ์ กล่าว

               นายสุรพงษ์ กล่าวต่ออีกว่า ตนอยากให้ประชาชนเข้าใจว่า การปลุกปั่นเกิดกระแสต่อต้านขึ้นมาได้นั้น ถ้าผู้ปลุกปั่นนำข้อเท็จจริงมาเผยแพร่ก็คงไม่เป็นไร แต่จากการศึกษาในรายละเอียด ตนได้พบเอกสารหลักฐานใหม่ที่หายไป คือ ในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี มีนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในสมัยนั้น พยายามที่จะคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยคัดค้านให้เอาเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น และได้มีการทำแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา กับยูเนสโก และต่อมาการประชุมสมัชชาครั้งที่ 32 ได้มีมติขึ้นทะเบียนเฉพาะปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เหตุนี้เองจึงทำให้มีการปลุกกระแสคลั่งชาติขึ้นมา แต่หลักฐานที่ตนพบนั้น ไม่ได้เริ่มในสมัยรัฐบาลนายสมัคร ในการให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่เกิดขึ้นสมัยรัฐบาลพล.อ.สรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ในการประชุมสมัชชามรดกโลก ครั้งที่ 31 ที่เมืองไครส์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ ประเทศไทยและกัมพูชาได้เห็นพ้องต้องกันที่จะให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก พร้อมกันนี้ไทยยังออกแถลงการณ์แสดงความยินดี เมื่อวันที่ 9 ก.ค.2550 โดยระบุไว้ชัดเจนว่า

             “ในวันที่ 28 มิ.ย.2550 ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก มีมติเกี่ยวกับการที่กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยเห็นว่าปราสาทพระวิหารมีคุณค่าทางสากลและควรค่าที่จะให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลก ซึ่งไทยและกัมพูชาตกลงที่จะร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง ในการจัดทำแผนอนุรักษ์และบริหารจัดการบริเวณปราสาทพระวิหาร โดยเห็นชอบให้มีการพิจารณาคำขอขึ้นทะเบียนอีกครั้ง ในการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 32 ในปี 2551” นายสุรพงษ์ กล่าว

               นายสุรพงษ์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้หนังสือฉบับนี้ ยังระบุย้ำอีกว่า ฝ่ายไทยได้ออกแถลงข่าวแสดงความยินดีกับกัมพูชาในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร และแสดงเจตนาอย่างมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกันอนุรักษ์และบริหารจัดการในพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารต่อไป ซึ่งประเด็นในหนังสือฉบับนี้คือ ขณะนั้นทางกัมพูชาจะนำบริเวณพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วย แต่ในสมัยรัฐบาลนายสมัคร ไทยพยายามที่จะคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารจนทำให้กัมพูชาเปลี่ยนแปลงเป็นเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารในการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเท่านั้น นี่จึงเป็นความสำเร็จของรัฐบาลนายสมัครด้วยซ้ำ ดังนั้นแสดงให้เห็นว่าข้อมูลนี้หายไป สังคมไม่ได้รับข้อมูลที่แท้จริง พวกปลุกกระแส พวกกลุ่มพันธมิตร จึงปลุกกระแสคั่งชาติ ขึ้นมา สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุด ในขณะนี้คือ มีกลุ่มคนที่จะใช้วิธีเดียวกันเพื่อปลุกกระแสคลั่งชาติ ดังนั้น ในวันที่ 11 พ.ย.นี้ ตนจึงไม่อยากเห็นชุมนุมประท้วงเกิดขึ้น ที่จะนำไปสู่ความแตกแยก ความวุ่นวาย และนำไปสู่ความสูญเสียชีวิตตามแนวชายแดนอีก ตนไม่อยากเห็นเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก

               “เราต้องคำนึงถึงคนที่อยู่บริเวณในพื้นที่ด้วย ต้องไม่ให้เดือดร้อน ซึ่งนายกฯก็เป็นห่วง และได้มีการคุยกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และได้นัดให้แม่ทัพภาค 2 คุยกันกับแม่ทัพภาค 4 ของกัมพูชา เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์บานปลาย หากผลคำตัดสินออกมาเป็นลบ จึงอยากให้ประชาชนที่อยู่แนวชายแดน สบายใจได้ ว่าอย่างน้อยทหารพูดคุยกัน คงไม่เกิดเหตุการณ์ปะทะกันแน่นอน และขอให้ประชาชน ฟังการถ่ายทอดด้วยสติ ถ้าผลคำตัดสินเป็นบวกรัฐบาลคงเจรจากัน แต่ถ้าเป็นลบเราก็ต้องมีขั้นตอนกันว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งตนพูดกับนายฮอ นัม ฮง อย่างชัดเจนว่า ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เราต้องให้เวลากันในการปฏิบัติการภายในประเทศ ยืนยันว่ารัฐบาลมีแผนรองรับอยู่แล้ว”นายสุรพงษ์ กล่าว

               ทั้งนี้ นายสุรพงษ์ ปฏิเสธกรณีที่หลายฝ่ายมองว่ารัฐบาลมีความสัมพันธ์แนบชิดกับรัฐบาลกัมพูชา จึงถูกมองว่าอาจมีการฮั้วกันและอาจมีผลประโยชน์ร่วมกัน ว่า เราแยกแยะออก เราไม่เอาผลประโยชน์ประเทศไปทำให้เกิดความเสียหายแน่นอน รัฐบาลได้รับเสียงส่วนมาจากการเลือกตั้งจะทำอะไรต้องคำนึงถึงประชาชนเป็นหลัก เราใช้ทนายต่อสู้ทีมเดิม เราสู้เต็มที่ ไม่เอาผลประโยชน์ของประเทศเป็นเดิมพันแน่นอน หากคำตัดสินของศาลโลกในวันที่ 11 พ.ย.นี้ ออกมาเป็นกลางๆ นั้น ตนถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่เราจะได้เจรจากัน เพราะเรามีกรอบเอ็มโอยู 2543 แต่หากมีการลุกขึ้นมาต่อต้านโดยกลุ่มการเมืองนั้น หากทำเพื่อประเทศชาติตนก็พร้อมน้อมรับ แต่ถ้าทำเพื่อตัวเองอย่างกรณีนิรโทษกรรมนั้น ที่ขณะนี้รัฐบาลก็ยอมถอยหมดแล้ว แต่พรรคฝ่ายค้านได้คืบเอาศอก ได้ศอกเอาวา อย่างนี้คงรับไม่ได้ หากคำตัดสินออกมาเป็นทางลบ หรือเราแพ้คดี ตนอยากให้ประชาชน ฟังคำชี้แจงและแนวทางการดำเนินการอของรัฐบาล ยืนยันว่า เราสู้เต็มที่และรักษาผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก เราจะฟังเสียงประชาชน และรัฐสภา เพื่อตัดสินใจร่วมกัน เราไม่ทำอะไรโดยพลการแน่นอนเชื่อมั่นว่าประชาชนจะเข้าใจ

                

 

ออกเดินทางไปกรุงเฮกมั่นใจศาลโลกตัดสินไทย-กัมพูชาอยู่ร่วมกัน ขอให้คนไทยฝากใจไปเชียร์ด้วยกัน

 

                นายสุรพงษ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนออกเดินทางไปยัง กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อฟังคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก (ไอซีเจ) กรณีกัมพูชาขอให้ตีความคำพิพากษาปราสาทพระวิหารปี 2505 วันที่ 11 พ.ย.นี้ว่า มั่นใจว่าคำตัดสินของศาลโลกครั้งนี้จะทำให้เราและกัมพูชาสามารถอยู่ร่วมกันได้และเดินต่อไปได้ ซึ่งไม่ได้ต่อสายคุยกับทางกัมพูชา เพราะยึดหลักในการพูดคุยกับนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ไม่ว่าผลคำตัดสินจะออกมาเป็นอย่างไรสองประเทศจะใช้กลไกที่มีอยู่แก้ปัญหาร่วมกันด้วยสันติ

                 นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า อยากฝากถึงคนไทยไม่ว่ากลุ่มใดก็ตามไม่อยากให้นำประเด็นนี้มาปลุกระดมม็อบหรือเป็นประเด็นล้มรัฐบาล เพราะการที่เราต้องไปศาลโลกครั้งนี้เกิดจากเหตุการณ์เมื่อปี 2553 สมัยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เกิดความขัดแย้งกับกัมพูชาจนกัมพูชาใช้เป็นเหตุนำไปฟ้องต่อศาลโลก

                  “ขอให้คนไทยเข้าใจว่ารัฐบาลนี้ไปต่อสู้คดีต่อจากรัฐบาลที่แล้ว อยากให้ประชาชนเข้าใจไม่อยากให้ใช้ประเด็นพระวิหารมาปลุกปั่น  เนื่องจากมีการขีดเส้นตายวันที่ 11 พ.ย.นี้ ซึ่งตรงกับวันที่ศาลโลกจะมีคำตัดสิน ที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินการทุกอย่างแล้วทั้งเรื่องการถอน ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง และมีสัญญาณชัดจากวุฒิสภาว่า จะคว่ำร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จึงอยากให้เข้าใจและหวังว่าคนไทยจะส่งใจไปเชียร์ และขอให้การแถลงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ภายหลังเสร็จสิ้นการฟังคำตัดสินว่าจะมีแนวทางต่อไปอย่างไร  หลังฟังคำตัดสินเสร็จสิ้นทีมทนายความที่ปรึกษาชาวต่างประเทศจะเดินทางกลับมาประเทศไทยด้วย ไม่ว่าผลออกมาเป็นอย่างไร แต่หวังว่าถ้าผลออกมาทางบวกคน เตรียมจัดงานต้อนรับยิ่งใหญ่” นายสุรพงษ์ กล่าว