ข่าว

ตร.บุกจับกาแฟผสมไวอาก้าค่ากว่า3ล.

ตร.บุกจับกาแฟผสมไวอาก้าค่ากว่า3ล.

28 ต.ค. 2556

ตำรวจบุกจับกาแฟผสมยาไวอาก้า ยึดของกลางกว่า 6 หมื่นซอง มูลค่า 3 ล้านบาท

 

                        28 ต.ค.56 พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผกก.ดส.บช.น. ,พ.ต.ท.แมน เม่นแย้ม รอง ผกก.ดส.บช.น. พร้อมเจ้าหน้าที่คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นำหมายค้นศาลจังหวัดมีนบุรี เข้าตรวจค้นอาคารพานิชย์ 3 ชั้น 2 คูหา เลขที่ 976 ถนนรามอินทรา แขวงและเขตคันนายาว กทม. ซึ่งเปิดเป็นสถานที่จัดจำหน่ายกาแฟสำเร็จรูป ชื่อวันแฟน ของบริษัทวันแฟน (ประเทศไทย) จำกัด หลังได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่า กาแฟดังกล่าวผสมสารซินเดอร์นาฟิน หรือยาไวอาก้า

                        จากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่พบกาแฟปรุงสำเร็จ ยี่ห้อวันแฟน บรรจุอยู่ในลังจำนวน 10 ลัง จากนั้นได้นำหมายค้นบุกเข้าตรวจค้นทาวส์เฮ้าส์ 2 ชั้นเลขที่ 105/276 ซอยสวนสยามซอย 3 แขวงและเขตคันนายาว กทม.ซึ่งใช้เป็นโกดังเก็บกาแฟไว้รอจำหน่าย จากการตรวจค้นพบลังบรรจุกาแฟอีก 137 ลัง จึงอายัดไว้ตรวจสอบ รวมทั้งหมด 66,264 ซอง คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,000,000 บาท

                        นายไพฑูรย์ แสงสีนิล หุ้นส่วนบริษัท กล่าวว่า บริษัทตนเป็นเพียงผู้จัดจำหน่ายกาแฟสำเร็จรูป ชื่อวันแฟน ในนามห้างหุ้นส่วนจำกัด กลุ่มทุนสหมั่งคั่ง (กาแฟวันแฟน) ไม่ได้เป็นผู้ผลิต โดยรับกาแฟสำเร็จรูปมาจำหน่าย ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2555 โดยขายในราคากล่องละ 590 บาท จำนวน 1 กล่อง มี 10 ซอง และไม่รู้ว่ากาแฟที่รับมาจำหน่ายมีส่วนผสมที่ผิดกฎหมาย ซึ่งต้องให้เจ้าหน้าที่นำกาแฟดังกล่าวไปตรวจสอบก่อนว่า สารที่พบนี้มีส่วนผสมที่ผิดกฎหมายหรือไม่

                        ด้าน พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ กล่าวว่า หลังจากหน้าที่ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนก็ได้ทดลองซื้อกาแฟยี่ห้อวันแฟน มาดื่ม ก่อนนำผงกาแฟส่งไปตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผลตรวจพบสารซินเดอร์นาฟิน หรือชื่อทางการค้าคือไวอาก้าผสมอยู่ จากนั้นจึงนำกำลังเข้าตรวจค้น ก่อนอายัดกาแฟทั้งหมดไว้ก่อน เพื่อนำส่งตรวจซ้ำที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์อีกครั้ง ถ้าพบว่าในตัวกาแฟมีสารซินเดอร์นาฟินอีก ก็จะแจ้งข้อหาดำเนินคดีกับผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายกาแฟ ซึ่งเบื้องต้นพบว่าบริษัทผู้ผลิตตั้งอยู่ที่ ต.ทุ่งตะโก อ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร ซึ่งจะต้องถูกดำเนินคดีในข้อหา อาหารไม่บริสุทธิ์มีสิ่งเจือปน ตามพ.ร.บ.อาหารและยา มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท แต่ขณะนี้ยังไม่ได้แจ้งข้อหากับผู้ใด ต้องรอผลการตรวจสอบก่อน

                        พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ กล่าวอีกว่า สำหรับกาแฟดังกล่าวจะมีการโฆษณาทางวิทยุชุมชน และวางจำหน่ายตามร้านขายยา ร้านเสริมสวยต่างๆ โดยจะอวดอ้างสรรพคุณในการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศให้กับผู้ชาย

 

กรมศุลจับสาวไทยรับจ้างขนโคเคน 7 กก. ขึ้นเครื่องจากมาเลย์เข้าไทย

 

                       นายราฆพ ศรีศุภอรรถ อธิบดีกรมศุลกากร พร้อมด้วย นางอรอนงค์ วัชรเศรษฐกุล ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร และเจ้าหน้าที่สืบสวนกรมศุลกากร ร่วมกันแถลงผลจับกุม น.ส.ธิติลักษณ์ ติ่งถิ่น อายุ 23 ปี พร้อมของกลาง กระเป๋าเดินทางสีน้ำตาล 1 ใบ โคคาอีน(โคเคน) น้ำหนักรวม 7 กิโลกรัม มูลค่า 31 ล้านบาท ขวดพลาสติก ถุงบรรจุเครื่องอุปโภคบริโภคหลายรายการ และหนังสือเดินทางประเทศไทย หมายเลข R930180 โดยจับกุมได้ที่บริเวณท่าอากาศยานดอนเมือง

                       นายราฆพ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรงานสืบสวนปราบปราม และศูนย์บริการศุลกากรท่าอากาศยานดอนเมือง สำนักงานศุลกากรกรุงเทพ สืบทราบว่าจะมีการขนยาเสพติดมาจากประเทศฟิลิปปินส์ จึงได้เฝ้าติดตามจนกระทั่งเมื่อเวลา 20.30 น.วันที่ 27 ต.ค. เจ้าหน้าที่พบ น.ส.ธิติลักษณ์ เดินทางมาถึงท่าอากาศยานดอนเมือง มีพฤติกรรมต้องสงสัยจึงเข้าขอตรวจค้นกระเป๋า ก็พบวัตถุต้องสงสัยเป็นผงและของเหลวสีขาวซุกซ่อนภายในกระเป๋าเดินทางดังกล่าว จึงได้ตรวจสอบด้วยน้ำยาทดสอบพบว่าเป็นสารเสพติดประเภทโคเคน จึงทำการจับกุมตัวมาสอบสวน

                       จากการสอบสวนทราบว่า น.ส.ธิติลักษณ์ เดินทางมาจากประเทศฟิลิปปินส์ โดยใช้สายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบินที่ AK1591 มาลงยังเมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ก่อนต่อเครื่องมาลงที่ท่าอากาศยานดอนเมือง โดยใช้สายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบินที่ AK1948 เบื้องต้นผู้ต้องหารับสารภาพว่า ได้รับการว่าจ้างให้ขนโคเคนมาจากประเทศฟิลิปปินส์ โดยได้ค่าจ้างครั้งละ 20,000 บาท เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อหา มียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส.ดำเนินคดีตามกฎหมาย

                       นายราฆพ กล่าวอีกว่า การจับกุมครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยจับกุมตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเบื้องต้นจากการขยายผลพบว่ามีการทำเป็นลักษณะขบวนการ โดยมีชาวไนจีเรียเป็นหัวหน้าขบวนการ สำหรับพฤติกรรมของขบวนการต่างชาติเหล่านี้จะทำทีเข้ามาตีสนิทกับสาวไทย โดยอ้างตัวว่าเป็นเศรษฐีนักธุรกิจ มีการพูดคุยจนกระทั่งสนิทสนมตกลงปลงใจคบหากัน ก่อนจะออกอุบายเดินทางกลับต่างประเทศ และอยากให้หญิงไทยเดินทางไปด้วย แต่ต้องช่วยขนสินค้าหรือเครื่องประดับ โดยหารู้ไม่ว่าสินค้าหรือเครื่องประดับเหล่านั้น มียาเสพติดซุกซ่อนอยู่ และเมื่อเดินทางไปถึงก็จะถูกตรวจค้นและจับกุมในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังพบว่าที่อันตรายไปมากกว่านั้นหญิงสาวบางรายถูกกลุ่มคนร้ายออกอุบายส่งตั๋วเครื่องบินให้โดยอ้างว่าให้ไปช่วยขนของเพื่อกลับเข้ามาในประเทศ

                       "แก๊งหลอกหญิงไทยข้ามชาตินี้ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศในแถบอเมริกาใต้ โดยฐานการผลิตโคเคนที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ประเทศบราซิล ซึ่งรูปแบบของแก๊งนี้จะลักลอบขนโคเคนทั้งในรูปแบบชนิดผงและชนิดน้ำ โดยชนิดน้ำจะเป็นที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากสามารถตบตาเครื่องตรวจจับได้หากไม่มีการตรวจสอบที่เข้มงวดอาจจะรอดพ้นการจับกุม และเมื่อลักลอบสำเร็จก็จะนำโคเคนที่ละลายน้ำไปสกัดด้วยความร้อน เพื่อกลายเป็นชนิดผงอีกที ทั้งนี้ยังพบข้อมูลว่าปัจจุบันมีหญิงไทยจำนวนมากที่ถูกดำเนินคดีและถูกจำคุกในต่างประเทศ โดยประเทศที่มีหญิงไทยถูกจับกุมมากที่สุดคือประเทศบราซิล รองลงมาเป็นประเทศไต้หวัน และประเทศบาร์เรน" นายราฆพ กล่าว