ข่าว

ยกฟ้อง!'เสี่ยขาว'เจ้าของซานติก้าผับ

ยกฟ้อง!'เสี่ยขาว'เจ้าของซานติก้าผับ

22 ต.ค. 2556

ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง!'เสี่ยขาว'เจ้าของซานติก้าผับ คงคุก 3 ปี บริษัททำเอฟเฟกต์ชดใช้8.7ล้านบาท

               22 ต.ค.56 เมื่อเวลา 14.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีเพลิงไหม้ซานติก้าผับ ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 ญาติผู้เสียชีวิต และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ รวม 57 ราย ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายวิสุข เสร็จสวัสดิ์ หรือเสี่ยขาว กรรมการผู้จัดการบริษัท ไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (2003) จำกัด ผู้บริหารซานติก้าผับ ,นายธวัชชัย ศรีทุมมา ผอ.ฝ่ายปฏิบัติการ,นายพงษ์เทพ จินดา ผจก.ฝ่ายบันเทิง, นายวุฒิพงศ์ ไวลย์ลิกรี ผจก.ฝ่ายการตลาด, นายสราวุธ อะริยะ นักร้องวงเบิร์น ผู้จุดพลุไฟ , บริษัท โพกัสไลท์ ซาวน์ซิสเต็ม จำกัด ซึ่งรับจ้างติดตั้งการทำเอฟเฟกต์ ซานติก้าผับ และนายบุญชู เหล่าสีนาท กรรมการผู้มีอำนาจบริษัท โพกัสไลท์ฯ เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานผู้ใดทำให้เกิดเพลิงไหม้เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียหายและเป็นอันตรายกับชีวิตผู้อื่น , ผู้ใดกระทำการประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย , ผู้ใดกระทำการให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และผู้ใดกระทำการให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ตามประมวลกฎหมาย มาตรา 225 , 291, 300, 390 และกระทำผิด พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2509 มาตรา 16/1 , 16/3.27 และ 28/1 ฐานเป็นผู้รับอนุญาตตั้งสถานบริการปล่อยปละละเลยให้บุคคล ซึ่งอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าไปในสถานบริการ และปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานบริการ มาตรา 291

               โดยโจทก์ยื่นฟ้องระบุว่า เมื่อคืนวันที่ 31 ธ.ค.51 ต่อเนื่องวันที่ 1 ม.ค.52 พวกจำเลยได้กระทำการโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง จัดให้มีงานรื่นเริงให้บริการจำหน่ายอาหารสุรา เครื่องดื่ม การแสดงดนตรี รวมทั้งการแสดง แสง สี เสียง ในโอกาสฉลองเทศกาล วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ภายในตัวอาคารซานติก้าผับ ย่านเอกมัย ซึ่งภายในตัวอาคารไม่มีแบบแปลนแผนผังอาคารติดตั้งแสดงไว้ ไม่มีป้ายบอกทางหนีไฟ และไม่ได้ติดตั้งไฟฉุกเฉินให้มีจำนวนเพียงพอที่จะสามารถเปิดส่องสว่างแก่ลูกค้า เพื่อการหลบหนีออกจากตัวอาคารได้สะดวกและปลอดภัย โดยอาคารมีพื้นที่ให้บริการลูกค้าที่สามารถจุคนได้ไม่เกิน จำนวน 500 คน แต่ขณะเกิดเหตุมีลูกค้าเข้าไปใช้บริการเป็นจำนวนมากกว่า 1,000 คน โดยจำเลยที่ 5 ได้จุดพลุไฟที่บริเวณหน้าเวที ซึ่งมีความสูงประมาณ 5 เมตร จนเกิดลูกไฟขึ้นไปชนเพดานเวที ทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้นที่บริเวณเพดานเวทีและภายในตัวอาคารเป็นเหตุให้ลูกค้าผู้เข้าไปใช้บริการ ในอาคารถึงแก่ความตาย 67 คน บาดเจ็บสาหัส 32 คน บาดเจ็บอีก 71 คน

               จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ โดยจำเลย 1 อ้างว่า ขณะเกิดเหตุไม่ได้เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์(2003) จำกัด ซึ่งบริหารร้านซานติก้าผับ ส่วนจำเลยที่ 6 และ 7 ต่อสู้คดีว่าเพลิงที่ลุกไหม้ไม่ได้เกิดจากเอฟเฟกต์

               คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 20 ก.ย.54 เห็นว่า จำเลยที่ 1,6 และ 7 เป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เป็นความผิดกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม ม. 291 ที่เป็นบทหนักสุด จำคุกจำเลยที่ 1 และ 7 คนละ 3 ปี และปรับบริษัท โฟกัสไลท์ ฯ จำเลยที่ 6 รวม 20,000 บาท โดยให้บริษัทจำเลยที่ 6 และนายบุญชู จำเลยที่ 7 ร่วมกันชดใช้โจทก์ร่วมที่ 4-8 ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต เป็นเงิน 8.7 ล้านบาท โดยให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2-5 ต่อมาจำเลยที่ 1, 6-7 ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้อง โดยโจทก์ยื่นอุทธรณ์จำเลยที่ 5 และโจทก์ร่วมยื่นอุทธรณ์ส่วนค่าเสียหาย

               ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า โจทก์ยื่นฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กระทำประมาท แต่เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 แล้วเห็นว่าไม่ใช่ผู้ที่กระทำประมาทโดยตรงที่จะทำให้เหตุเพลิงไหม้ ลำพังที่จะฟังว่าให้กลุ่มนักท่องเที่ยวเข้าไปในสถานบันเทิงเกิน 500 คนก็ฟังไม่ได้ ซึ่งหากจำเลยที่ 1 จะมีพฤติการณ์ดังกล่าวก็เป็นเรื่องของการไม่ได้ติดแบบแปลนแผนผังของอาคาร ป้ายบอกทางหนีไฟ และติดไฟฉุกเฉินให้เพียงพอ ที่เป็นข้อปฏิบัติตามพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดนั้นสืบเนื่องจากการจุดเอฟเฟกต์ด้วยไฟฟ้าที่หน้าเวทีที่จำเลยที่ 6-7 ดูแล โดยในชั้นนำสืบมีผู้เชี่ยวชาญด้านพลุและดอกไม้เพลิง เบิกความประกอบว่าพลุและดอกไม้เพลิงเป็นวัสดุต่างชนิดกัน ซึ่งดอกไม้เพลิงจะมีความร้อนสูงถึง 300 องศาเซลเซียส และต้องจุดในที่โล่งแจ้ง แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อมีการจุดเอฟเฟกต์แล้วประกายได้พุ่งขึ้นสู่เพดานจนเกิดเพลิงไหม้ โดยเริ่มตั้งแต่ด้านขวามือของเวที พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมานั้นรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 6-7 กระทำประมาท ส่วนนักร้องนำวงเบิร์น จำเลยที่ 5 ในชั้นนำสืบมีหลักฐานเป็นแผ่นดีวีดีบันทึกภาพที่ได้จากกล้องวิดีโอของพนักงานบริษัทที่ได้บันทึกการแสดงโชว์บนเวทีก่อนที่จะเกิดเพลิงไหม้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ไม่ได้มีการตัดต่อภาพ และไม่ปรากฏภาพว่าจำเลยที่ 5 ได้ถือกระบอกพลุและจุดตามคำเบิกความของพยานโจทก์บางปาก นอกจากนี้ ยังปรากฏว่าภายในอาคารมีแสงไฟสลัว ค่อนข้างมืด ประกอบกับมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากยืนเบียดเสียดกัน จึงเป็นไปได้ที่พยานจะเห็นภาพในมุมที่ต่างกัน และอาจจะเข้าใจผิดได้ ซึ่งภาพที่ปรากฏในแผ่นดีวีดีพบเพียงแค่จำเลยที่ 5 ยืนถือไมค์เพียงมือเดียว ไม่ได้ก้มๆ เงยๆ ตามคำเบิกความของพยาน ซึ่งหากจะถือกระบอกพลุด้วยก็ต้องถือ 2 มือพยานหลักฐานโจทก์ยังมีความขัดแย้งกัน

               ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ทุกข้อหา และพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องจำเลยที่ 5 โดยให้จำคุกนายบุญชู กรรมการบริษัท โพกัสไลท์ฯ จำเลยที่ 7 เป็นเวลา 3 ปี และปรับบริษัท โฟกัสไลท์จำเลยที่ 6 จำนวน 20,000 บาท และให้บริษัทจำเลยที่ 6 กับ นายบุญชู จำเลยที่ 7 ชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม ที่ 4-8 รวม 5 รายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต เป็นเงิน 8.7 ล้านบาท

               ภายหลัง ทนายความของนายบุญชู กกรมการบริษัท โฟกัสไลท์ ฯ จำเลยที่ 7 ซึ่งวันนี้เดินทางมาฟังคำพิพากษาในชุดคนไข้สภาพแขนหักและมีอาการอิดโรยจากอาการท้องเสีย ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเเงินสด 500,000 บาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา ต่อมาศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยตีราคาประกัน 500,000 บาท

               ขณะที่ นายวิสุข หรือเสี่ยขาว จำเลยที่ 1 ซึ่งสวมแว่นดำ ได้เดินทางกลับพร้อมผู้ติดตามทันทีโดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ ซึ่งระหว่างอยู่ในห้องพิจารณาคดี เสี่ยขาวได้พูดคุยและจับมือแสดงความยินดีกับทนายความ ส่วนกลุ่มญาติผู้เสียหายที่วันนี้เดินทางมาฟังคำพิพากษาประมาณ 50 คน ก็ได้จับกลุ่มพูดคุยกัน

               ด้าน น.ส.มาลี ถนอมปัญญารักษ์ ญาติผู้เสียหาย กล่าวหลังศาลยกฟ้องนายวิสุขว่า จากการพูดคุยญาติผู้เสียหายทุกคนแล้วต่างยืนยันจะยื่นฎีกาถึงที่สุด เพราะต้องการให้ผู้บริหารซานติกาผับร่วมรับผิดชอบกับบริษัทที่ติดตั้งเอฟเฟกต์ด้วย เพราะหากเจ้าของผับไม่จ้างบริษัททำเอฟเฟกต์มาติดตั้งพลุ ก็คงจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ถ้าจะให้บริษัทเอฟเฟกต์อย่างเดียวรับผิดชอบคงไม่ใช่ ซึ่งคำพิพากษาของศาลพลิกหน้ามือเป็นหลังมือที่ยกฟ้องทุกข้อหา แม้แต่เรื่อง พ.ร.บ.ควบคุมอาคารก็ยังไม่มีความผิด ส่วนค่าสินไหมทดแทน 8.7 ล้านบาทก็จะยื่นฎีกาต่อด้วย เพราะเห็นว่าน้อยเกินไปต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น

               ขณะที่ น.ส.รัตนา แซ่ลิ้ม อายุ 31 ปีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นแผลถูกไฟไหม้ตามร่างกายและใบหน้า 30 เปอร์เซ็นต์จนศีรษะโล้น มือขวากุด มือซ้ายพิการผิดรูป และมีร่องรอยบาดแผลไฟไหม้ทั้งตัว กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังแต่ก็จะสู้คดีในชั้นศาลฎีกา โดยปัจจุบันแม้ตนยังเข้มแข็งดี แต่ก็รู้สึกเหนื่อยที่คดียังไม่สิ้นสุดเสียที ขณะที่คู่กรณีดูเหมือนไม่ช่วยเหลือดูแลเรา หากย้อนเวลากลับไปได้ตนก็ไม่อยากตกอยู่ในสภาพนี้ จึงอยากให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลผู้เสียหาย ซึ่งชั้นพิจารณาในการสืบพยานทุกนัดตนซึ่งไม่ต่างจากสภาพคนพิการ ก็พยายามมาศาลทุกนัดเพื่อแสดงให้เห็นว่าคนที่ได้รับบาดเจ็บ ก็ต้องยอมทนอยู่สภาพแบบนี้ให้ได้ จริงๆ แล้วสำหรับเงินค่าเสียหายไม่ว่าจะ 10 ล้านบาท หรือจำนวนเท่าใดก็ไม่สำคัญ ถ้าจะให้แลกสภาพที่เป็นอยู่กับเงินจะไม่มีใครยอมแลกบ้าง คงไม่มีใครอยากเสียโฉม ซึ่งทุกครั้งที่ถึงเวลาส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ตนยังนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างติดตา คิดว่าทำไมต้องเป็นเรา เหตุใดเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นกับตัวเอง ทุกวันตนก็ไม่ได้ประกอบอาชีพอะไร ขณะที่ยังรอฟังการพิจารณาคดีที่ได้ยื่นฟ้องเสี่ยขาว กับพวก ที่ศาลจังหวัดพระโขนงในคดีแพ่งที่มีผู้เสียหายยื่นฟ้องประมาณ 47 สำนวน โดยส่วนตัวตนได้เรียกค่าเสียหาย 8 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้พวกจำเลยเคยเสนอจ่ายค่าเสียหายให้ 100,000 บาท