ข่าว

'น้องสอง'วาดฝันติดยศตำรวจ

'น้องสอง'วาดฝันติดยศตำรวจ

02 ต.ค. 2556

'บุตรี เผือดผ่อง' นักเทควันโดสาวเหรียญเงินโอลิมปิก 2008 โอดอยากรับราชการเป็น 'ตำรวจ' ยิ่งมีกีฬาเทควันโดบรรจุในกองทัพไทยอยากใช้โอกาสนี้พิสูจน์ความสามารถของตัวเอง

 

                                2 ต.ค. 56  ความเคลื่อนไหว "น้องสอง" บุตรี เผือดผ่อง เจ้าของเหรียญเงินกีฬาโอลิมปิกเกมส์ปี 2008 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน หลังจากมีอาการบาดเจ็บหัวเข่าทั้งสองข้างจนต้องขอถอนตัวออกจากนักเทควันโดทีมชาติไทยเป็นเวลานานนับปี ก่อนที่เจ้าตัวจะประสบความสำเร็จด้านการศึกษา คือ จบปริญญาตรีคณะสังคมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา

                                ล่าสุด "น้องสอง" บุตรี เปิดเผยว่า หลังจากเลิกเล่นทีมชาติแล้วก็พยายามเอาเวลาที่มีอยู่ทั้งหมดทุ่มเทให้กับการศึกษาเต็มที่ ตามคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้กับครอบครัวก่อนหน้านี้ เพราะถือว่านี่คือใบเบิกทางสู่ความสำเร็จของชีวิตและความมั่นคงในเรื่องต่างๆ แต่ก็ยังเอาเวลาบางช่วงฟิตซ้อมร่างกายดูแลตัวเองบ้าง เพราะกีฬาเทควันโดผูกพันมานาน ด้วยการไปรับจ้างสอนพิเศษกีฬาเทควันโดให้พรรคพวกและเพื่อนฝูงตามโรงยิมเนเซียม

                                อย่างไรก็ตาม เวลานี้ทำงานเป็นพนักงานแผนกฝ่ายบุคคลอยู่ที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ถนนวิภาวดีรังสิต ทำงานมาได้ 6 เดือนแล้ว ก็มีความสุขตามอัตภาพ ส่วนตัวหากเลือกได้ก็อยากเข้ารับราชการเป็น "ตำรวจ" ไม่ว่าในระดับชั้นประทวน หรือระดับชั้นสัญญาบัตร ก็พร้อมยอมรับเสมอ เพื่อต้องการสร้างความมั่นคงให้ชีวิตตัวเองและครอบครัว แถมยังเป็นอาชีพที่ใฝ่ฝันมาช้านาน แต่ยังไม่เคยมีโอกาส หรือพูดจริงๆ จังๆ กับใคร โดยเฉพาะตอนประสบความสำเร็จคว้าเหรียญเงินจาก "ปักกิ่งเกมส์ 2008" ที่จีนกลับมา ตอนนั้นยังเด็กมาก เลยทำให้ไม่ได้คิดถึงดังกล่าวเรื่องนี้เลย

                                เจ้าของเหรียญเงินกีฬาโอลิมปิกเกมส์ยังกล่าวอีกว่า ยิ่ง ณ เวลานี้เห็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จในกีฬาโอลิมปิกเกมส์เข้ารับราชการเป็นทั้งตำรวจและทหารกันมากมาย ส่วนตัวก็อยากใช้ผลงานความสามารถที่ผ่านมาก้าวไปสู่จุดนั้นบ้าง ล่าสุด "บิ๊กเอ" ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย และ "บิ๊กชา" ปรีชา ต่อตระกูล อุปนายกสมาคม ได้ผลักดันกีฬาเทควันโดจนเข้าไปเป็นกีฬาสาธิตในกีฬากองทัพไทยปี 2557 จากนั้นในปีถัดไปจะบรรจุเข้าไปอย่างเป็นทางการ จึงทำให้มีความสนใจที่จะใช้วิชาความรู้ความสามารถในกีฬาชนิดนี้ไปสอน หรือชี้แนะในสิ่งที่ดีและถูกต้องให้ข้าราชการตำรวจได้ ดังนั้นจึงขอวิงวอนและเห็นใจจากผู้ใหญ่ที่มีอำนาจ มา ณ โอกาสนี้ด้วย

                                "ใจจริงแล้วหนูอยากรับราชการเป็นตำรวจ แต่ไม่เคยมีโอกาสได้พูดกับใครเลย เพราะเกรงว่าจะเป็นการรบกวนมากจนเกินไป ยิ่งหลังจากเลิกเล่นทีมชาติไทยไปทุกอย่างดูห่างไกลมากยิ่งขึ้น กระทั่งเรียนจบปริญญาตรีและมาทำงาน จึงได้รู้ว่าการรับราชการมันดูจะมั่นคงในชีวิตมากกว่าอาชีพอื่นใด ยิ่งที่บ้านทั้งคุณพ่อและคุณแม่ก็รับราชการเหมือนกัน จึงอยากใช้วิชาความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่เพื่อไปทำงานในสิ่งที่ตั้งใจกับอาชีพตำรวจ" บุตรี กล่าวทิ้งท้าย