ข่าว

ยืนคุก4ปี6เดือน!'เปมิกา'โกง'หมอเผ่า'

ยืนคุก4ปี6เดือน!'เปมิกา'โกง'หมอเผ่า'

25 ก.ย. 2556

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน สั่งจำคุก 4 ปี 6 เดือน 'เปมิกา'ฐานฉ้อโกง'หมอประกิตเผ่า' ขณะที่ศาลให้รวมพวกอีก 3 คน ชดใช้เงินคืน 8.3 ล้านบาทเศษ

              25 ก.ย.56  เมื่อเวลา 09.30 น. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.4543/2550 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 และ รศ.เพลินจิต ทมทิตชงค์ มารดา ของนพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ผู้เสียหายที่ 1 เจ้าของสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ ฟิสิกส์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.เปมิกา หรือ ศิวพร หรือ สิริรัษสิริ หรือ อุ๋ย วีรชัชรักษิต หรือ เหลืองเรณูกุล อายุ 31 ปี อดีตเพื่อนสาวคนสนิทนายแพทย์ประกิตเผ่า, น.ส.ฤทัย หรือ แนน รุ่งสิริเมธากุล อายุ 29 ปี, นายณัฐพล หรือ ภาสยภูริณฐ์ หรือ ตั้ม พรมประไพ อายุ 34 ปี , นายวทัญญู หรือ ปุ้ย ตันธีระพงศ์ อายุ 33 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนนักศึกษา น.ส.เปมิกา ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงโดยอาศัยความอ่อนแอแห่งจิตของผู้ถูกหลอกลวง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 342 ประกอบมาตรา 83 และ 81

               โดยโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 20 ส.ค.50 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อเดือน ต.ค.49 - ก.พ.50 นพ.ประกิตเผ่า ผู้เสียหายที่ 1 ที่มีความอ่อนแอแห่งจิต มีความผิดปกติทางด้านภาวะจิตใจ เป็นโรคจิตอารมณ์แปรปรวน มีความหลงผิดแยกไม่ได้ว่าข้อมูลใดเป็นจริงข้อมูลใดเป็นเท็จ ขาดความยับยั้งชั่งใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีผู้อื่นชักจูง ได้หลงเชื่อตามคำหลอกลวง และการสร้างสถานการณ์ของจำเลยทั้งสี่ โดยเข้าใจว่า ตนเองสามารถนั่งสมาธิจนสำเร็จญาณขั้นสูง สามารถระลึกชาติ ถอดจิตได้ มีอำนาจจิตที่บุคคลธรรมดาไม่สามารถจะทำได้ และยังเชื่อว่า จำเลยที่ 1 มีความสามารถนั่งสมาธิจนสามารถเข้าสู่ฌาน และสามารถระลึกชาติได้เช่นกัน ซึ่งพวกจำเลยร่วมกันสร้างสถานการณ์หลอกลวงผู้เสียหายให้เข้าใจว่า จำเลยที่ 1 และผู้เสียหายที่ 1 เคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน 99 ภพชาติที่ผ่านมา มีหนี้กรรมต้องชดใช้ในชาตินี้ จึงขอให้ผู้เสียหายซื้อรถยนต์โตโยต้า คัมรี่ สีดำ มูลค่า 1,569,000 บาท ให้จำเลยที่ 1 และมอบเงินจำนวน 980,000 บาท เพื่อซื้อแผ่นป้ายทะเบียน สห-9999 รวมทั้งซื้อนาฬิกาโรเล็กซ์ และทรัพย์สินอื่นรวม 10 รายการ มูลค่า 9,658,000 บาท เหตุเกิดที่แขวง - เขตปทุมวัน, แขวง - เขตพญาไท กทม. , ต.งามวงศ์วาน อ.เมือง จ.นนทบุรี, ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เกี่ยวพันกัน จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ

               คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ต.ค.53 ให้จำคุก น.ส.เปมิกา จำเลยที่ 1 ฐานฉ้อโกงทรัพย์ 7 กระทงๆ ละ 6 เดือน รวม 42 เดือน และฐานพยายามฉ้อโกง 3 กระทงๆ ละ 4 เดือน รวม 12 เดือน โดยจำคุกจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น 54 เดือน คิดเป็น 4 ปี 6 เดือน

               ขณะที่ ให้จำคุกจำเลยที่ 2-4 ฐานสนับสนุนให้ฉ้อโกง 7 กระทงๆ ละ 4 เดือน รวม 28 เดือน และปรับ 7 กระทงๆ ละ 3,000 บาท รวม 21,000 บาท และฐานสนับสนุนให้ผู้อื่นพยายามฉ้อโกง จำคุก 3 กระทงๆ ละ 2 เดือน 20 วัน รวม 6 เดือน 60 วัน และปรับ 3 กระทงๆ ละ 2,000 บาท รวม 6,000 บาท โดยจำคุกจำเลยที่ 2-4 ทั้งสิ้นคนละ 34 เดือน 60 วัน คิดเป็นเวลา 3 ปี และปรับคนละ 27,000 บาท แต่จำเลยที่ 2 - 4 ประกอบอาชีพการงานมั่นคงและไม่เคยต้องโทษอาญามาก่อน พฤติการณ์เป็นเพียงผู้สนับสนุนโทษจำคุก จึงให้รอลงอาญาไว้กระทงละ 2 ปี และให้จำเลยที่ 1 - 4 ร่วมกันคืนทรัพย์สินจำนวน 8,035,387 บาท คืนให้กับโจทก์ร่วมและผู้เสียหาย

               ต่อมาโจทก์ และโจทก์ร่วมยื่นอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 สถานหนักและไม่รอลงอาญา จำเลยที่ 2 - 4 ขณะที่ได้จำเลยยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง

               ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 ได้รู้จักกับผู้เสียหาย โดยอ้างว่า ตนเองสามารถถอดจิต ระลึกชาติได้ และเคยเป็นสามีภรรยากันมา 99 ภพชาติ ผู้เสียหายมีหนี้กรรมที่จะต้องชดใช้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลักษณะของการกระทำต่อผู้เสียหายมีจิตอ่อนแต่ได้อาศัยความเชื่อถือศรัทธา ว่าจะต้องชดใช้กรรม จำเลยที่ 1 กระทั่งผู้เสียหายยอมมอบเงินให้ ซึ่งหากไม่ถูกหลอกลวงว่า มีหนี้กรรมที่จะต้องชดใช้ ผู้เสียหายก็คงจะไม่มอบทรัพย์สินดังกล่าวให้ ขณะที่กระทำของจำเลยที่ 2 - 4 เป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ก่อนที่ผู้เสียหายจะมอบทรัพย์สินให้กับจำเลยที่ 1 จึงถือเป็นเพียงผู้สนับสนุนไม่ใช่ลักษณะตัวการร่วม ส่วนที่โจทก์และโจทก์ร่วมขอให้ลงโทษจำเลยสถานหนักนั้น เห็นว่าการลงโทษในคดีอาญาไม่ได้มุ่งหมายในการแก้แค้น แต่เพื่อให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษและรู้สึกหลาบจำ และให้คิดดีทำดีเพื่อจะได้กลับคืนสู่สังคม อีกทั้งจำเลยมีการศึกษา อาชีพการงานมั่งคง ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย ที่ 1 รวม 7 กระทงๆละ 6 เดือน ฐานฉ้อโกง และฐานพยายามฉ้อโกงอีก 3 กระทงๆ ละ 4 เดือน และให้รอลงอาญาจำเลยที่ 2-4 ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเหมาะสมแล้ว

               แต่ที่ศาลชั้นต้นไม่กำหนดว่า หากจำเลยที่ 2 - 4 ไม่ชำระค่าปรับจะดำเนินการอย่างไรนั้น เห็นควรแก้เป็นว่า หากจำเลยที่ 2 - 4 ไม่ชำระค่าปรับคนละ 27,000 บาท ให้กักขังแทน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30 และให้จำเลยทั้ง 4 ร่วมกันชดใช้เงินคืนให้กับผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 8,395,387 บาท

               ภายหลังน.ส.เปมิกา กล่าวว่า ขณะนี้ตัวเองอยู่บ้าน ไม่ได้ประกอบอาชีพอะไร โดยมีบุตรที่จะต้องเลี้ยงดู 3 คน ซึ่งวันนี้มารดาของตนก็ได้เตรียมหลักทรัพย์ไว้ยื่นประกัน จำนวน 1 ล้านบาท