
'มนฤดี-ทายาทโอสถสภา'แจ้งความถูกขู่
'ตุ๋ย-มนฤดี' อดีตนางเอกดัง พร้อมทายาทโอสถสภาและทนายเข้าแจ้งความหลังถูกขู่เอาชีวิต
เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 24 กันยายน นางเสาวณีย์ โอสถานุเคราะห์ เเม่ของ น.ส.วิสา สารสาส หรือไหม นักเเสดงชื่อดังและยังเป็นทายาทบริษัทโอสถสภา พร้อมด้วย น.ส.มนฤดี ยมาภัย หรือตุ๋ย อดีตนางเอกชื่อดัง เเละนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความ ร่วมเเถลงข่าวเเละเปิดใจในกรณีดำเนินการฟ้องร้องระหว่างนางเสาวณีย์กับนายชินเวศ สารสาสซึ่งเป็นสามี
น.ส.มนฤดี กล่าวว่า ตนรู้จักกับนางเสาวณีย์ตั้งเเต่ปี 2547 ซึ่งพวกตนจะปฏิบัติธรรมด้วยกันเเละเป็นลูกศิษย์หลวงตามหาบัวด้วยกัน จึงสนิทกัน ในกรณีดังกล่าวอาจดูเหมือนว่าตนไม่เกี่ยวข้องด้วย เเต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ ที่ตนไม่เคยมีศัตรูที่ไหนมาก่อน และเวลาไปไหนมาไหนก็มักจะไปด้วยกันกับนางเสาวณีย์ ก็ทำให้ตนได้เจอเหตุการณ์ทั้งคนเฝ้าตามสังเกตการณ์ที่คอนโด โดนเจาะยางรถยนต์ไปพร้อมกัน จึงเกรงว่าอาจได้รับอันตรายเหมือนกัน เลยตัดสินใจเข้าเเจ้งความที่สน.หัวหมากไว้ก่อน เพื่อเป็นการป้องกันกรณีเกิดเหตุร้ายขึ้น ตนก็รู้สงสารเเละเห็นใจนางเสาวณีย์เป็นอย่างมากที่ต้องมาเจอเรื่อง ราวเช่นนี้ ซึ่งหากเปรียบเทียบละครน้ำเน่าที่ตนเเสดงมายังไม่เท่ากับชีวิตจริงของนาง เสาวณีย์เลย
ขณะที่นางเสาวณีย์กล่าวว่า ตนกับสามีเเยกกันอยู่กับสามีเป็นเวลากว่า 20 ปีเเล้ว หลังจากนั้นจึงหันหน้าไปเข้าวัดเเละปฏิบัติธรรมจึงคิดว่าควรจะหย่าร้างกันอย่างจริงจัง จึงดำเนินการฟ้องหย่าตั้งเเต่ปี 2553 เเต่ทางสามีไม่ยินยอม เเละไม่เคยเดินทางมาไกล่เกลี่ยที่ศาลเลย ต่อมาตนได้ไปตรวจสอบทรัพย์สินของตนเพื่อดำเนินการเเบ่งสินสมรส พบว่าทรัพย์สินบางรายการที่ไม่ใช่สินสมรส เเต่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของตนเองถูกสามีโอนไปให้กับลูก เช่นที่ดินที่เกาะยาวน้อย จังหวัดพังงา ที่ดินที่เเม่เเตง จังหวัดเชียงใหม่ เเละที่ดินในเขตประเวศ กทม.
นอกจากนี้หลังการตรวจสอบยังพบอีกว่านายชินเวศได้ปลอมลายมือชื่อพร้อมเอกสารไปกู้เงินที่ธนาคารทหารไทย สาขาปทุมวัน 2 วงเงิน เป็นจำนวนเงิน 1,400 ล้านบาท ดังนั้น ตนจึงดำเนินการฟ้องร้องทางคดีอาญา โดยไปเเจ้งความที่สภ.เกาะยาว จังหวัดพังงาเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 เเละสภ.เเม่เเตง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2556 เเละที่สน.ประเวศ จากนั้นตนให้ทนายสุวัตร รวบรวมหลักฐาน ซึ่งเป็นเอกสารทั้งลายเซ็นต์ปลอมเเละจริงส่งให้พนักงานสอบสวนที่สภ.เกาะยาว เพื่อนำสางให้กองพิสูจน์หลักฐานเทียบเคียง
นางเสาวณีย์ กล่าวต่อว่า เเต่เนื่องจากทางพนักงานสอบสวนไม่ได้มีการเเยกเอกสารลายเซ็นต์จริงเเละปลอม ผลพิสูจน์จึงออกมาว่าไม่สามารถพิสูจน์ลายมือชื่อดังกล่าวได้ ทั้งนี้ตนทราบจากทนายสุวัตรว่าสาเหตุที่พนักงานสอบสวนส่งไปเช่นนั้น เพราะมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งเป็นคนสั่งการขัดขวาง ต่อมาทนายสุวัตรจึงได้นำลายมือชื่อดังกล่าวไปตรวจพิสูจน์อีกครั้งหนึ่งที่สถาบันนิติวิทยาศาตร์ ซึ่งผลปรากฏว่าลายมือชื่อที่เซ็นต์อยู่ในเอกสารที่กู้ยืมเงิน เเละโอนที่นั้นไม่ใช่ของตน ซึ่งตนจะให้ทนายสุวัตรนำหลักฐานดังกล่าวไปมอบให้กับพนักงานสอบสวนต่อไป
“หลังจากที่ฉันดำเนินการฟ้องทางอาญานั้น ทั้งตัวเองทนายสุวัตรเเละน.ส.มนฤดีถูกข่มขู่เเละชีวิตถูกคุกคาม ที่ผ่านมาก็มีคนเเอบเจาะยางรถยนต์ของฉัน มีทั้งมีอดีตลูกน้องของสามีบุกไปที่วัดในเวลากลางดึกซึ่งฉันเเละน.ส.มนฤดีไปปฏิบัติธรรมอยู่ รวมทั้งมีคนใส่เเว่นตาดำเเละหมวกเเก๊ป ถือวิทยุสื่อสาร คอยติดตามสังเกตการณ์อยู่หน้าคอนโดที่ฉันเเละน.ส.มนฤดีพักอยู่ ทั้งนี้ศาลได้มีการเเนะนำให้ฉันไปเจรจาพูดคุยกัน เพราะเป็นเรื่องภายในครอบครัว ซึ่งฉันได้ไปพูดคุยกับลูกทั้ง 3 คนเเล้ว เเต่ลูกๆก็เฉย พร้อมให้เหตุผลว่าพ่อไม่ให้พูดเรื่องนี้ ซึ่งส่วนตัวก็รู้สึกว่าทำไมลูกๆถึงไม่ลุกขึ้นมาทำอะไร หรือต่อสู้เพื่อเเม่บ้าง ฉันจึงอยากขอความเป็นธรรมผ่านสื่อ อยากให้สื่อมวลชนเเละสาธารณชนทราบว่าฉันถูกรังเเก เเละอยากให้การเเถลงข่าวครั้งนี้ทำให้นายชินเวศออกมาเจรจาพูดคุยกับฉันเพื่อ ไกล่เกลี่ยเรื่องให้จบลงด้วยดี” นางเสาวณีย์ กล่าว
ด้านนายสุวัตร กล่าวว่า ตนเข้ามารับคดีต่อในช่วงคดีอาญาช่วงปี 2555 ที่ผ่านมา โดยคดีที่สภ.เกาะยาว ตนเป็นคนรวบรวมพยานหลักฐานส่งให้พนักงานสอบสวน เพื่อส่งต่อให้กองพิสูจน์หลักฐาน เเต่เมื่อผลออกมาว่าพิสูจน์ไม่ได้ ตนก็เกิดความคลางเเคลงใจว่าเหตุใดพนักงานสอบสวนจึงไม่เเยกลายมือชื่อของจริง เเละปลอมไป เเต่กลับรวมเป็นกองเดียวกันไป จึงสืบทราบในภายหลังว่าเบื้องหลังมีนายตำรวจใหญ่ระดับพล.ต.อ. มีชื่อย่อ ร. ปัจจุบันยังมีอายุราชการอยู่ด้วย เป็นผู้อยู่เบื้องหลังคอยขัดขวาง ทั้งนี้หลังจากที่ตนเข้ามาทำคดี ตนถูกข่มขู่เอาชีวิต ซึ่งต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาตนทำคดีสำคัญเพียง 2 คดี คือคดีของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร เเละคดีนี้เท่านั้น ซึ่งตนเป็นห่วงนางเสาวณีย์ เเละน.ส.มนฤดี เกรงจะเป็นอันตราย เนื่องจากเป็นผู้หญิง โดยส่วนตนมีตำรวจกองปราบเเละทหารดูเเลความปลอดภัยอยู่ ตนจึงจะพาทั้ง2คนไปเเจ้งความที่สน.หัวหมาก เพื่อเป็นข้อมูลให้กับตำรวจกรณีหากเกิดเหตุร้ายเเรงขึ้นกับทั้ง2คน
ผู้สื่อข่าวรายงายว่าหลังจากเเถลงข่าวเปิดใจเสร็จ เวลาประมาณ 15.15 น. วันเดียวกันนางเสาวณีย์ น.ส.มนฤดี เเละทนายสุวัตรได้เดินทางมายังสน.หัวหมาก พร้อมเข้าพบ ร.ต.อ.เอกพร เอี่ยมสะอาด พนักงานสอบสวน สน.หัวหมาก เพื่อลงบันทึกประจำวันเพื่อเป็นหลักฐานกรณีถูกคุกคามข่มขู่ ไม่มีความปลอดภัยในชีวิต และระหว่างทั้ง 3 คนกำลังเเจ้งความอยู่กับพนักงานสอบสวน ได้มีรถตู้โฟล์ค สีดำ ขับผ่านมาวนรอบ สน.หัวหมาก ซึ่งมาก่อนบุคคลทั้ง3 จะมาถึงสน.หัวหมากเล็กน้อย พร้อมจอดถ่ายรูปสื่อมวลชน ทั้งยังมีผู้ชายใส่เสื้อสีดำลงมายืนเเจกเอกสาร โดยอ้างว่ามาจากนายชินเวศให้กับผู้สื่อข่าวอีกด้วย โดยในกระดาษดังกล่าว มีข้อความว่า กรณีปลอมลายมือชื่อนายชินเวศไม่ขอตอบโต้ เนื่องจากเห็นเเก่ความรู้สึกของลูก ส่วนคดีอื่นๆที่อยู่ในการพิจารณาของ ขอให้เป็นหน้าที่ของศาล เเละกรณีที่เกี่ยวกับธนาคารทหารไทย ก็ขอให้ผู้สื่อข่าวไปสอบถามทางธนาคารเพื่อความเป็นธรรมกับธนาคารด้วย