ข่าว

สมบัติผู้ดี

สมบัติผู้ดี

20 ก.ย. 2556

สมบัติผู้ดี : วันเว้นวันจันทร์ พุธ ศุกร์กับประภัสสร เสวิกุล

               มีหนังสือเล่มบางๆ เล่มหนึ่ง ที่นักเรียนในสมัยก่อนต้องอ่านกัน หนังสือเล่มนั้นก็คือ “สมบัติของผู้ดี” หรือที่เรียกกันติดปากว่า “สมบัติผู้ดี” เรียบเรียงโดย เจ้าพระยาพระเสด็จสุริเยนทราธิบดี (ม.ร.ว.เปีย มาลากุล) อดีตเสนาบดีกระทรวงธรรมการ หรือกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน ท่านเคยกราบบังคมทูลเสนอให้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปรับปรุงระบบการศึกษาของไทย โดยร่างเป็น “โครงแผนการศึกษาในกรุงสยาม” ใน พ.ศ.2441 กับโครงการสร้างสถานศึกษาในระดับอุดมศึกษา ใน พ.ศ.2453 นอกจากการวางรากฐานทางการศึกษาแล้ว ท่านยังแต่งและเรียบเรียงหนังสือไว้หลายเล่ม เช่น “สมบัติของผู้ดี” และ “หน้าที่พลเมืองดี” เป็นต้น

               วัตถุประสงค์ในการเรียบเรียงหนังสือ “สมบัติของผู้ดี” นั้น ก็เพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิต และความหมายของผู้ดีในทัศนะของ เจ้าพระยาพระเสด็จฯ ก็คือเป็นผู้ที่มีความประพฤติดี มิใช่เรื่องของชาติกำเนิด ดังนั้น ใครก็ตามที่ยึดถือหนังสือเล่มนี้ในการประพฤติและปฏิบัติตน ก็ย่อมเรียกได้ว่าเป็นผู้ดีทั้งสิ้น

               หนังสือ “สมบัติของผู้ดี” ประกอบด้วย 10 ภาค แต่ละภาคมีความยาวไม่มากนัก ได้แก่ ภาค 1 ผู้ดี ย่อมรักษาความเรียบร้อย ภาค ๒ ผู้ดี ย่อมไม่ทำอุจาดลามก ภาค 3 ผู้ดี ย่อมมีสัมมาคารวะ ภาค 4 ผู้ดี ย่อมมีกริยาเป็นที่รัก ภาค 5 ผู้ดี ย่อมเป็นผู้มีสง่า ภาค 6 ผู้ดี ย่อมปฏิบัติการงานดี  ภาค 7 ผู้ดี ย่อมเป็นผู้มีใจดี  ภาค 8 ผู้ดี ย่อมไม่เห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว ภาค 9 ผู้ดี ย่อมรักษาความสุจริตซื่อตรง และภาค 10 ผู้ดีย่อมไม่ประพฤติชั่ว

               เมื่อมองดูเมืองไทยในทุกวันนี้ ก็น่าห่วงใยที่ความเป็นผู้ดีห่างหายไปจากสังคมไทยแทบจะทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกิริยามารยาท เรื่องของการควบคุมกาย วาจา ใจ เรื่องของความประพฤติ เรื่องของการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริต และความเห็นแก่ตัว และปัจจุบันนี้ คนไทยให้ความชื่นชมในทรัพย์สินเงินทอง ยศศักดิ์ และความโด่งดัง โดยไม่คำนึงว่าสิ่งเหล่านั้นจะได้มาด้วยวิธีไหน หรือเป็นความโด่งดังในด้านดีหรือด้านเลว

               สิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนก็คือเฟซบุ๊ก ซึ่งเวลานี้มีลักษณะใกล้เคียงตลาดสดเข้าไปทุกวัน ด้วยการใช้คำพูดที่รุนแรงหยาบคาย หรือลามก คำด่าต่างๆ กลายเป็นภาษาสามัญของชาวเฟซบุ๊กบางกลุ่ม นอกเหนือจากการใส่อารมณ์ความรู้สึกกับเรื่องราวต่างๆ อย่างเต็มที่ โดยปราศจากความครุ่นคิดใคร่ครวญ ทบทวนความถูกต้องของข้อมูลที่ได้รับ และเผื่อเหลือเผื่อขาดสำหรับข้อมูลใหม่หรือความเป็นจริง ซึ่งการโพสต์ข้อความที่แสดงความรู้สึกส่วนตัวโดยขาดความรับผิดชอบเช่นนี้ นอกจากจะไร้สมบัติของผู้ดีแล้ว ยังเป็นการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบ อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น และอาจส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อบ้านเมืองได้ ดังเช่นที่เคยเกิดมาแล้วในบางประเทศ

               การด่าทอหยาบๆ คายๆ ได้กลายเป็นคำเคยปากของคนไทยแทบทุกรุ่นทุกวัยไป ที่สามารถพูดกันได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจหรือระคายปาก เมื่อก่อนมีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งว่า “ผู้ดีสอนให้ด่า ขี้ข้าสอนให้ไหว้” ซึ่งแสดงภาพของคนที่มีความเป็นผู้ดีกับคนที่ไม่มีความเป็นผู้ดีได้เป็นอย่างดี แต่สังคมไทยในปัจจุบัน หลายๆ คนที่แสดงท่าว่าเป็นผู้ดีก็ด่าเป็นไฟแลบโดยไม่ต้องสอนเลยครับ แต่ผู้ดีประเภทนั้นคงจะลืมคำพูดที่ว่า “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” ไปเสียสนิท

               มีคำกล่าวว่า ถ้าจะดูความเจริญด้านวัฒนธรรมและพื้นฐานทางสังคมไม่ว่าจะด้านการศึกษา จิตใจ การอบรมเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อม อุปนิสัย วิสัยทัศน์ ฯ ของคนชาติไหน ก็ให้ดูจากการประชุมสภาฯ ซึ่งบางประเทศอาจจะโต้เถียงกันรุนแรง แต่ก็เคารพกติกามารยาทและความเห็นของผู้อื่น บางประเทศเห็นสภาฯ เป็นสยามสู้วัว ที่ขวิดกันอย่างบ้าคลั่ง และบางประเทศก็เป็นเหมือนเวทีจำอวดที่เต็มไปด้วยตัวตลกพิลึกกึกกือต่างๆ นานา

               สำหรับสภาฯ ไทย นั้น ถ้าจะซื้อหนังสือ “สมบัติของผู้ดี” มอบแก่สมาชิกทุกคน และขอร้องให้อ่านกันสักคนละรอบสองรอบ ก็จะเกิดประโยชน์และเป็นคุณแก่บ้านเมืองยิ่งกว่าการแจกไอแพดหลายพันเท่าเลยละครับ