ข่าว

'ประพันธ์'แจงเหตุที่มา'สว.สรรหา'

'ประพันธ์'แจงเหตุที่มา'สว.สรรหา'

13 ก.ย. 2556

'ประพันธ์' ระบุ รธน.50 ให้มี สว.สรรหา เพื่อให้มี สว.หลากหลายจากทุกภาคส่วน แจงดำเนินคดี 'ศิริโชค' แต่ไม่สั่งลต.ผู้ว่าฯกทม.ใหม่ เหตุไม่ส่งผลให้ผู้สมัครได้รับเลือก

 

                         13 ก.ย.56 เมื่อเวลา 09.00 น. ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ถ.รัชดาภิเษก นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวบรรยายพิเศษหัวข้อ "บทบาทคณะกรรมการการเลือกตั้งในการจัดการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม" ให้กับผู้เข้าอบรมสร้างเครือข่ายชุมชนสัมพันธ์ โดยนายประพันธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า จากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค.54 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งระดับชาติ กกต.มีหน่วยเลือกตั้งกว่า 9 หมื่นหน่วย มีเจ้าหน้าที่ดำเนินการจัดการเลือกตั้งกว่า 1 ล้านคน ภาระตรงนี้เป็นภารกิจของชาติไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง หากกกต.ไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายการเลือกตั้งคงจะสำเร็จลุล่วงไปไม่ได้ จึงมองว่าประเทศไทยภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ควรใช้ระบบการเลือกตั้งหากไม่ใช้ระบบการเลือกตั้งเราจะไปใช้ระบบใด ถ้าไปใช้ระบบอื่นๆ จะเป็นที่ยอมรับหรือไม่ ซึ่งขณะนี้กำลังมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยยกเลิกส.ว.สรรหา ไปหมดเลย แต่รัฐธรรมนูญปี 50 กำหนดให้มี ส.ว.แบบสรรหา เนื่องจากต้องการกลั่นกรองให้มี ส.ว.ที่หลากหลาย เป็นตัวแทนจากภาคส่วนต่างๆ จึงมีตัวแทนของภาควิชาชีพต่างๆ อาทิ นักกฎหมาย นักวิชาการ นักธุรกิจ โดยยกตัวอย่าง ส.ว.สรรหา ที่มาจากการผู้พิการทางสายตา เพราะหากผู้พิการทางสายตาลงสมัครเลือกตั้ง ส.ว. ก็เชื่อว่าคงจะไม่มีใครสนใจให้ผู้พิการเข้ามาทำหน้าที่ สุดท้ายก็ไม่ได้รับเลือกตั้ง

                         นายประพันธ์ กล่าวว่า สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ตนมองว่ายังไม่เห็นว่าระบอบการปกครองใดจะดีไปกว่าการปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตย การจะเข้ามามีอำนาจด้วยการรัฐประหาร หรือยึดอำนาจ ในอนาคตคงจะเกิดได้ยาก เพราะไม่ใช่วิถีทางของประชาธิปไตย สังคมโลกคงไม่ยอมรับ และถ้ามีความรุนแรงเกิดขึ้นด้วยสังคมโลกก็จะยิ่งไม่ยอมรับและอาจต่อต้านได้ ดังนั้นเมื่อไม่มีทางอื่นก็ต้องทำให้การเลือกตั้งสุจริต เที่ยงธรรมและโปร่งใส เป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่าย ซึ่งดูจากหลายประเทศทั่วโลกพบว่าเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ จะให้องค์กรกลางที่ไม่ได้ขึ้นกับรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการจัดการเลือกตั้ง ทั้งนี้การให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับการปกครองอย่างถูกต้องและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนจะสามารถแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงได้ เมื่อไม่มีการซื้อสิทธิขายเสียงการเลือกตั้งก็จะสุจริต

                         นายประพันธ์ กล่าวว่า ขณะนี้พบว่าการหาเสียงทั้งระดับชาติหรือท้องถิ่นมีการหาเสียงแบบประชานิยม ซึ่งถ้าอยู่ในกรอบของกฎหมายก็สามารถทำได้ แต่ถ้าอยู่นอกอำนาจของกฎหมายก็เท่ากับเป็นการหลอกลวงประชาชน ตนมองว่าการเลือกตั้งจะสุจริตเที่ยงธรรมได้นั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน ประกอบด้วย 1. ผู้จัดการเลือกตั้ง เพราะถ้าจัดเลือกตั้งโดยไม่สุจริตแล้วจะได้ผู้แทนประชาชนที่ดีได้หรือไม่ แต่ก็ขอยืนยันว่าตลอด 7 ปี ที่เข้ามาเป็น กกต. การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ 2. ผู้สมัครลงเลือกตั้ง ถ้าผู้สมัครพรรคการเมืองไม่เอาเงินไปแจกประชาชนการซื้อเสียงจะเกิดขึ้นอย่างไร แต่ปัญหาที่ผ่านมาพบว่าการซื้อเสียงยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งพบว่ามีการซื้อเสียง 1,000- 2,000 บาทต่อหัว เพราะจำนวนผู้มีสิทธิ์มีไม่มาก และ 3. ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ถ้าประชาชนไม่รับเงินจากผู้สมัคร การทุจริตการเลือกตั้งก็จะไม่เกิดขึ้นเพราะการซื้อสิทธิขายเสียงทำให้ประชาธิปไตยเสื่อมลง อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า กกต.ก็ได้พยายามแก้ไขด้วยการรณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งให้มากขึ้น เพื่อลดปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียง แม้ว่าอาจจะไม่เห็นผลในวันนี้ แต่เชื่อว่าในอนาคตจะดีขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ตนจึงอยากให้ทุกฝ่ายหันมาร่วมมือกันเพื่อช่วยให้ประเทศเดินไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ

                         ทั้งนี้ นายประพันธ์ ยังได้กล่าวชี้แจงในช่วงระหว่างการตอบคำถามถึงกรณีที่กกต.มีมติ 3 ต่อ 2 เสียง ให้ดำเนินคดีอาญากับนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ แต่กลับไม่สั่งเลือกตั้งใหม่ (ใบเหลือง) กับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร กรณีโพสต์ภาพเผาบ้านเผาเมืองในช่วงการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ว่า การวินิจฉัยของกกต.ได้ดำเนินการไปตามระเบียบของข้อกฎหมาย เมื่อกกต.เสียงข้างมากมีมติให้ดำเนินคดีอาญากับนายศิริโชค แต่ไม่สั่งเลือกตั้งใหม่ กกต.เสียงข้างน้อยก็ต้องยอมรับ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาก็เคยมีกรณีเช่นนี้ คือมีบริษัทที่รับติดป้ายโฆษณาหาเสียงการเลือกตั้งของผู้สมัครรายหนึ่ง ไปติดป้ายหาเสียงในพื้นที่ที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งกกต.ได้วินิจฉัยให้ดำเนินคดีอาญากับบริษัทที่รับติดป้ายแต่ก็ไม่ได้ให้ใบเหลืองกับผู้สมัคร เพราะกกต.มองในแง่ว่ากรณีดังกล่าวไม่ได้เป็นเหตุสำคัญให้ผู้สมัครได้รับเลือกตั้ง