ข่าว

บ่กล้าบอกครู...

บ่กล้าบอกครู...

13 ก.ย. 2556

บ่กล้าบอกครู...:วันเว้นวันจันทร์ พุธ ศุกร์กับประภัสสร เสวิกุล

               มีหัวข้อเรียงความอยู่หัวข้อหนึ่ง ซึ่งคุณครูชอบให้นักเรียนเขียนเรียงความเสมอ นั่นก็คือ “โตขึ้นอยากจะเป็นอะไร” เช่นที่เพลง “บ่กล้าบอกครู (แต่หนูกล้าบอกอ้าย)” ของ เอิ้นขวัญ วรัญญา ที่ร้องว่า “ครูภาษาไทยเคยให้เขียนเรียงความ ตอนอยู่ ม.3 หนูยังจำขึ้นใจ เขียนในหัวข้อ โตขึ้นอยากเป็นอะไร ให้เขียนบรรยายหนึ่งหน้ากระดาษ ก็นึกถึงคำพ่อแม่ท่านบอกไว้ เป็นเจ้าเป็นนายนั้นสุขสบายทั้งชาติ เป็นครูเป็นหมอเป็นพนักงานของรัฐ อีกฝันที่วาดคือ อยากเป็นแอร์โฮสเตส”

               ครับ ความฝันของนักเรียนทั่วไปส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้นแหละครับ ต่างก็ใฝ่ฝันที่จะเรียนต่อจนถึงขั้นมหาวิทยาลัย เพื่อเมื่อจบออกมาแล้วจะได้มีงานดีๆ ทำ มีอนาคตที่มั่นคง มีเกียรติยศชื่อเสียง เป็นที่นับหน้าถือตาในสังคม - ความฝันของเด็กๆ มักจะสดใส บริสุทธิ์ และมุ่งหมายในสิ่งที่ดีงาม คงไม่มีใครอยากจะเป็นโจร เป็นผู้ร้าย หรือนักโกงเมือง หรอกครับ

               อย่างไรก็ตาม มาถึงวันนี้ที่คนในสังคมตาบอดสีขนาดที่เห็นสีขาวเป็นสีดำ และคิดถึงแต่การได้เงินมาอย่างง่ายๆ ก็ทำให้ความคิดของคนบิดเบี้ยวไปได้ ดังเช่นที่มีข่าวเรื่องคลิปนักศึกษาที่เป็นนักแสดงคนหนึ่ง แต่งชุดบิกินียืนอยู่บนเก้าอี้ในโรงอาหารของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อ หลุดออกมา และชาวเว็บบางกลุ่มก็ตีฆ้องร้องป่าวว่า เธอคนนั้นทำเช่นนั้นเพื่อประท้วงเรื่องการแต่งชุดนักศึกษา ที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ในเวลานี้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกเอาการ แต่ที่ประหลาดยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เธอออกมาปฏิเสธว่า การแต่งกายดังกล่าวของเธอไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องชุดนักศึกษา หากแต่เป็นการแต่งแฟนซีของนักศึกษา เรื่อง “อาชีพในอนาคต” และเธอบอกว่า เธอเลือกที่จะแต่งเป็น “กะหรี่” เพราะเห็นว่าเป็นอาชีพสุจริต

               ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม แต่ความคิดและการกระทำของนักแสดงคนนั้น ได้สะท้อนสิ่งที่อยู่ในสมองและจิตใจของตนเองออกมาสู่สายตาของคนภายนอก ถ้านักศึกษาที่เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วไปเป็นกะหรี่ ก็แสดงว่าการศึกษาของชาติตกต่ำจนถึงขีดสุด และก็สอดคล้องกับคำเล่าลือที่ว่า ในปัจจุบันนี้นักศึกษาบางคนอาศัยเครื่องแบบนักศึกษาเป็นเครื่องมือในการขายตัว หรือเอาตัวแลกเกรด

               ในสมัยก่อนปี 2516 นักศึกษาอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ยุค คือ ยุค “กูเป็นนิสิตนักศึกษา” ตามสำนวนของ สุจิตต์ วงษ์เทศ และขรรค์ชัย บุนปาน ซึ่งนักศึกษาในยุคนั้นค่อนข้างจะอหังการหรือในสมัยนี้ใช้คำว่า “กร่าง” นั่นแหละครับ เพราะตอนนั้นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงได้ ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง สังคมเองก็ให้การยอมรับนับถือนักศึกษา เพราะเห็นว่าเป็นปัญญาชน และนักศึกษาจำนวนหนึ่งก็เป็นดังที่ นเรศ นโรปกรณ์ เขียนไว้ว่า “เพียงหวังจะเฟื่องฟุ้ง หรือจึงมุ่งมาศึกษา เพียงเพื่อปริญญา เอาตัวรอดเท่านั้นฤา”

               แต่ความจริงแล้ว ระบบการศึกษาของไทยในเวลานั้น (จนถึงเวลานี้) ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่นักศึกษาและสังคมคาดหวัง จึงเป็นยุคของ “ฉันจึงมาหาความหมาย” อย่างที่ วิทยากร เชียงกูล เขียนไว้ว่า “ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึงมาหาความหมาย ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว” ซึ่งวังเวงมาก

               เราพูดกันมานมนานว่า “การศึกษาเป็นหัวใจของชาติ” แต่เมื่อดูอาการของการศึกษาไทยในทุกวันนี้ ก็จะเห็นว่าอยู่ในขั้นร่อแร่ ใกล้ภาวะหัวใจล้มเหลวเข้าไปเรื่อยๆ

               การที่ได้เข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย นับเป็นโอกาสอันดี และเป็นรากฐานสำคัญของชีวิต สิ่งที่นักศึกษาควรจะคำนึงถึงหรือถกเถียง น่าจะเป็นเรื่องวิชาการ เรื่องสังคม เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องบ้านเมือง มากกว่าเรื่องการแต่งกาย

               และต้องใช้สมอง ให้มากกว่าใช้เรือนร่างด้วยครับ