
'โครอน'สุสานเรือใต้ทะเล
'โครอน'สุสานเรือใต้ทะเล สัมผัสเสน่ห์พลังของชุมชน : คอลัมน์เปิดโลกวันอาทิตย์
"ตัดสินใจแล้วนะ จะไปโครอน ปาลาวัน ในเว็บชมสุดยอดสวย-สะอาด"
ผู้เขียนได้แต่พยักหน้างงๆ ไอ้ชื่อที่พูดมันอยู่ส่วนไหนของโลก... เกิดมาไม่เคยได้ยิน ! รีบไปเปิดถาม "ลุงกูเกิล" สะกดผิดๆ ถูกๆ อยู่หลายครั้ง กว่าจะรู้ว่า "Coron" เป็นหมู่เกาะเล็กๆ ส่วนหนึ่งของเกาะใหญ่ที่ชื่อปาลาวัน (Palawan Island) ตั้งอยู่ตะวันตกเฉียงใต้ประเทศฟิลิปปินส์ ความงดงามขึ้นชื่อขนาดแม็กกาซีนท่องเที่ยวของเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิกยกย่องเป็นอันดับหนึ่งในแถบเอเชียปี 2555
โดยเฉพาะนักดำน้ำที่ชื่นชอบ "เรือรบอับปาง" โครอนเปรียบเสมือนดินแดนในฝันต้องไปดำไปชมให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต แถมนิตยสารท่องเที่ยวฟอร์บส์ยกย่องให้ติดอันดับ 1 ใน 10 สถานดำน้ำดีที่สุดของโลก
การเดินทางเริ่มจากลงเครื่องบินที่เมืองหลวงมะนิลาก่อนขึ้นเครื่องบินเล็กขนาดไม่เกิน 30 ที่นั่ง นั่งต่อไปประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงสนามบินโครอนซึ่งตั้งอยู่กลางป่า จากนั้นต่อด้วยรถตู้เข้าไปอีก 30 นาที หมู่บ้านชาวประมงค่อยๆ เริ่มปรากฏให้เห็นตามข้างทาง เกาะโครอนมีชาวบ้านอาศัยอยู่แค่ 4 หมื่นกว่าคน ส่วนใหญ่เป็นชุมชนขนาดเล็กอาศัยในเกาะเล็กเกาะน้อยรอบๆ ประมาณ 20 เกาะด้วยกัน
บรรยากาศเหมือนเกาะสมุยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว จากหมู่บ้านชาวประมงดั้งเดิม เริ่มก่อสร้างรีสอร์ทและร้านค้า เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวดำน้ำที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี "เจฟฟี่" ครูสอนดำน้ำฟิลิปิโนวัย 35 ปี เล่าให้ฟังว่า แต่ก่อนที่นี่ไม่มีสนามบิน ถ้าเดินทางมาจากกรุงมะนิลาต้องขึ้นเรือต่อรถผ่านหลายเกาะไม่ต่ำกว่า 2 วันถึงจะเข้าเขตโครอน แต่หลังจากนักดำน้ำฝรั่งหัวทองค้นพบว่า แถวนี้มีเรือรบอับปางสัญชาติญี่ปุ่นถูกเครื่องบินอเมริกาทิ้งระเบิดให้จมอยู่ใต้ทะเลตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กว่า 20 ลำ ตั้งแต่นั้นกลุ่มนักดำน้ำรุ่นบุกเบิกก็แห่กันมาชื่นชม ตามมาด้วยนักดำน้ำชาวเอเชีย
อย่าลืมว่านักดำน้ำไม่ใช่นักท่องเที่ยวทั่วไป ที่จะแบกเป้สะพายหลังแล้วขึ้นรถลงเรือไปได้ทุกที่ เนื่องด้วยอุปกรณ์ดำน้ำแต่ละชิ้นล้วนมีน้ำหนักไม่น้อย กลุ่มที่มาโครอนส่วนใหญ่ไม่ใช่นักดำน้ำสมัครเล่นเสียด้วย อุปกรณ์ต้องสมศักดิ์ศรีระดับมืออาชีพ ประมาณว่าแบกกันมาไม่ต่ำกว่าคนละ 30-40 กก. ในที่สุดนายทุนเกาหลีทนไม่ไหวขอร้องให้สร้างสนามบินพร้อมออกเงินให้ด้วย พวกเราจึงโชคดีได้สนามบินโครอนมาเมื่อ 5 ปีที่แล้วนี่เอง
เดินทางมาถึงที่พักใจกลางเมืองประมาณบ่าย 2 วางกระเป๋าเช็กอินเสร็จรีบไปติดต่อทัวร์ดำน้ำเจ้าใหญ่ประจำท้องถิ่น ตัดสินใจเหมาเรือขนาดเล็กส่วนตัวราคาวันละ 2 พันบาทต่อเนื่อง 5 วัน นัดผู้เชี่ยวชาญวางแผนทริปดำน้ำสำรวจเรืออับปางเอาเฉพาะที่เป็นไฮท์ไลท์ก่อน (Wreck Tour)
พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง... เหมาะสมกับการเดินชมเมือง ผู้เขียนมาฟิลิปปินส์ครั้งแรกในชีวิต ตั้งใจว่าอาหารมื้อแรกต้องเป็นอาหารทะเลท้องถิ่น ให้สมกับที่เดินทางมาเยือนประเทศ 7 พันเกาะ
น่าแปลกใจที่เป็นเมืองท่องเที่ยว แต่ร้านอาหารยังมีอยู่น้อยมาก ตอนหลังค่อยรู้ว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ทำอาหารกินกันเอง วัฒนธรรมที่นี่เข้าครัวหุงหาอาหารกินตั้งแต่เช้า และเตรียมมื้อเที่ยงใส่ปิ่นโตออกไปด้วย เมื่อนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามา ร้านอาหารค่อยๆ เปิดบริการ ส่วนใหญ่เจ้าของเป็นชาวต่างชาติหรือนักลงทุนจากมะนิลาหรือเมืองใหญ่ใกล้เคียง
หลังสอบถามจนได้ชื่อร้านอาหารรสจัดจ้านประจำท้องถิ่นมาแล้ว ขอลองสั่ง "แกงซินิกัง" รสชาติเหมือนแกงส้มผสมต้มยำ ใส่ผักนานาชนิดเข้าไปรวมกับกุ้ง ปลา ปลาหมึก ฯลฯ หรือเนื้อสัตว์อะไรก็ได้ ถ้าใครไม่ถนัดอาหารทะเลให้สั่ง "ไก่อะโดโบ้" เป็นอาหารขึ้นชื่อเหมือนกะเพราะไก่บ้านเรา ใครมาต้องสั่งนำหน้าไว้ก่อน อะโดโบ้ทำจากเนื้อไก่ติดกระดูกต้มในน้ำใส่กระเทียมผสมน้ำส้มสายชู แบบคลุกขลิก ใส่ซอสถั่วเหลืองเคี่ยวจนแห้ง
ออกจากร้านอาหารประมาณ 2 ทุ่ม รู้สึกเร็วเกินไปที่จะกลับห้องนอน กวักมือเรียกแท็กซี่มาใช้บริการ เนื่องจากโครอนเป็นเกาะเล็กๆ จึงแทบไม่มีรถเก๋งหรือรถกระบะตามท้องถนน มีเพียงรถตู้ให้บริการรับ-ส่งนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ๆ ส่วนแท็กซี่ขวัญใจเราเป็นมอเตอร์ไซค์ดัดแปลงใส่หลังคาและเบาะนั่งด้านหน้ากับด้านหลัง รองรับผู้โดยสารไซส์เอ็มได้ไม่ต่ำกว่า 8 คน น่าชื่นชมมากเพราะเมืองไทยรถตุ๊กตุ๊ก นั่งได้ไม่เกิน 3 คน แต่ที่อยากปรบมือร้องสรรเสริญดังๆ คือราคารถแท็กซี่สาธารณะขอโครอน จัดทำเป็นระบบให้ราคาเท่าเทียมกันทุกคนไม่ว่าจะเป็นชาติตระกูลผิวสีจากดินแดนไหนก็ตาม หากเดินทางในเขตเมืองคนละ 10 เปโซ หรือประมาณ 7 บาท จะใกล้หรือไกลราคาเดียวเท่านั้น แต่ถ้านั่งไปนอกเมืองคิดคนละ 50 บาท ใช้บริการแล้วสบายใจไม่ต้องถูกฟันถูกหลอกเหมือนแท็กซี่ในเมืองอื่นๆ โดยเฉพาะไทยแลนด์ที่ชาวต่างชาติก่นด่าเรื่องนี้เป็นประจำ นับเป็นหนึ่งในหัวข้อน่าอายเวลาคุยกับเพื่อนต่างชาติ...
"โครอน" เรียนรู้ความผิดพลาดจากเมืองท่องเที่ยวหลายแห่งทั่วโลก ตั้งเป้าให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และพัฒนาชุมชนยั่งยืน สร้างระบบให้ธุรกิจทัวร์และร้านค้าตั้งราคาใกล้เคียงกัน เงินจับจ่ายใช้สอยจากนักท่องเที่ยวจะกลับไปพัฒนาสาธารณูปโภคต่างๆ ขยะและขวดพลาสติกถูกบดอัดให้เป็นก้อนแข็งส่งไปกำจัดที่เมืองใหญ่ ถุงพลาสติกแบบหนาใช้ใส่เฉพาะสินค้าหนักๆ เท่านั้น ส่วนอาหารขนมผลไม้ทั่วไป แม่ค้าใส่ในถุงพลาสติกบางเฉียบไม่มีหูหิ้ว คล้ายชนิดที่ใส่ผักเพื่อนำไปชั่งน้ำหนักในซูเปอร์มาร์เก็ตบ้านเรา
แต่ระบบที่น่าสนใจคือการเก็บค่าเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวดำน้ำหรือชายหาดรวมถึงทะเลสาปต่างๆ นั้น ชุมชนแต่ละแห่งจะส่งตัวแทนมานั่งเฝ้านักท่องเที่ยวแล้วเก็บเงินค่าบริการเป็นรายหัว 100 เปโซ หรือ 70 บาท วันไหนเรือพาแวะหลายเกาะต้องควักมากหน่อย 5 เกาะก็ 500 เปโซ โดยเฉพาะจุดท่องเที่ยวสำคัญอย่างทะเลสาบ “คายังกัน” (Kayangan) ที่ขึ้นชื่อว่าน้ำใสที่สุดในเอเชียนั้น มีชนเผ่าพื้นเมืองทัคบานัวคอยดูแลรักษา เพราะเป็นพื้นที่บรรพบุรุษของพวกเขา เงินที่ได้จากค่าเข้าชมก็ให้สมาชิกชนเผ่าจัดการบริหารเอง
แตกต่างจากเมืองไทยที่อุทยานแห่งชาติรับผิดชอบเก็บบ้างไม่เก็บบ้าง ไกด์เรือพาไปดำน้ำอาบแดดหาดไหนได้ตามสบาย ไม่ต้องจ่ายไม่ต้องควัก เหมือนจะดีสำหรับนักท่องเที่ยวแต่ไม่ดีสำหรับชุมชน เพราะทุกอย่างมีต้นทุนในการดูแลรักษา หากต้องการให้ชุมชนช่วยกันหวงแหนดูแลสมบัติธรรมชาติ รัฐต้องพร้อมสร้างระบบให้พวกเขาได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมด้วย เชื่อว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่พร้อมจ่าย ขอเพียงให้รักษาสถานที่แห่งนั้นสวยสะอาดไม่เปลี่ยนแปลงในทางที่เลวร้ายลง
ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเข้าเมืองไทยไม่ต่ำกว่า 20 ล้านคน ขณะที่ฟิลิปปินส์มีประมาณ 5 ล้านคน ถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจท่องเที่ยวไทยต้องเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการ เมื่อฟิลิปปินส์เรียนรู้ความผิดพลาดจากไทยได้ เราควรเรียนรู้ระบบกระจายอำนาจและรายได้เพื่อการอนุรักษ์สถานที่ท่องเที่ยวให้ยั่งยืนจากพวกเขาเช่นกัน
.............................
ดำลึก 40 ม.ท้าสำรวจเรือญี่ปุ่น
เช้าตรู่ 24 ก.ย.1944 ...เสียงดังกระหึ่มปกคลุมท้องฟ้าทิศเหนือหมู่เกาะปาลาวัน จากนั้นเพียงชั่วพริบตา ระเบิดหลายสิบลูกจากฝูงเครื่องบินถูกทิ้งลงสู่ท้องทะเลอย่างไม่ปราณี เป้าหมายคือเรือรบส่งสินค้าสัญชาติญี่ปุ่น เรือใหญ่มหึมา 24 ลำค่อยๆ ทิ้งตัวเอียงข้างจมดิ่งลงทะเล...
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นเข้ายึดครองฟิลิปปินส์ตั้งแต่ปี 1942 ฝั่งอเมริกาพยายามปิดล้อมไม่ให้มีการส่งเสบียงหรือสินค้าต่างๆ เข้ามาช่วยเหลือทุกวิถีทาง แต่ไม่สำเร็จ จนกลายเป็นปริศนาว่ากองทัพญี่ปุ่นยังคงแผ่อิทธิพลออกไปเรื่อยๆ ได้อย่างไร จนกระทั่งเครื่องบินตระเวนสอดแนมของอเมริกาพบการเคลื่อนไหวแปลกๆ บินผิวน้ำบนเกาะแห่งหนึ่ง ห่างจากมะนิลาไปประมาณ 300 กม. หลังสืบสาวเบื้องลึกจึงพบว่า หมู่เกาะโครอนคือเส้นทางอ้อมที่ทหารยุ่นใช้ขนส่งเสบียงและเครื่องใช้จำเป็นต่างๆ มาจากประเทศญี่ปุ่น แผนการทิ้งบอมบ์ระดับพระกาฬจึงถูกกำหนดขึ้นมา
ณ วันนี้ เรือรบอับปางในวันนั้น 24 ลำ กลายเส้นทางค้นหาสมบัติของกลุ่มนักดำน้ำผู้คลั่งไคล้ความลึกลับของประวัติศาสตร์
ทัวร์ดำน้ำส่วนใหญ่ไม่สามารถไปดูได้ทั้ง 24 ลำ ขอแนะนำเฉพาะลำที่ห้ามพลาด 3 ลำ คือ "LUSONG Gunboat" ลำนี้ไม่ลึกมากแค่ 5-10 เมตร มีปลาสวยงามและปะการังเกาะติดกลายเป็นบ้านใต้น้ำหลังใหม่ "TAI MARU" จมลึก 10-25 เมตร แต่เรือถูกระเบิดช่วงหน้าหักงอขึ้นอย่างน่าสนใจ ส่วนไฮไลท์ที่ทำให้สารอะดรีนาลีนหลั่งด้วยความตื่นเต้น นั่นคือ IRAKO MARU ลำนี้ยังมีถุงปูนซีเมนต์เป็นพันๆ ห่อแช่แข็งอยู่ในห้องเก็บของ เป็นเรือที่สร้างขึ้นมามีจุดประสงค์เพื่อขนเสบียงสำหรับทหาร 25,000 คนในระยะเวลา 2 อาทิตย์ ลำเรืองจึงมีขนาดมหึมายาวถึง 147 เมตร บรรทุกได้ 9,570 ตัน
แม้ IRAKO ถูกระเบิดสอยดิ่งจมทะเลลึกนานกว่า 70 ปี แต่สภาพในเรือค่อนข้างสมบูรณ์ อุปกรณ์เดินเรือใหญ่ๆ ของประดับห้องครัว ห้องลูกเรือ ยังมีให้ถ่ายภาพ เนื่องจากจมอยู่ในน้ำลึกไม่ง่ายสำหรับแก๊งล่าสมบัติใต้น้ำ ถ้าใครอยากสำรวจลำนี้จริง ต้องวางแผนกับไดฟ์มาสเตอร์ท้องถิ่นอย่างซีเรียส ไม่เหมาะกับมือสมัครเล่นเพราะลึกถึง 35-45 เมตร ลงได้ไม่กี่นาทีต้องลอยตัวขึ้นมาเป็นระยะๆ ปกตินักดำน้ำจะลงได้ลึกสุดไม่เกิน 30 เมตร
....................................
('โครอน'สุสานเรือใต้ทะเล สัมผัสเสน่ห์พลังของชุมชน : คอลัมน์เปิดโลกวันอาทิตย์ : โดย...พรรณี อมรวิพุธพนิช)