ข่าว

ไม่มีคำ'เสียใจ'ในสุนทรพจน์68ปีญี่ปุ่นแพ้สงคราม

ไม่มีคำ'เสียใจ'ในสุนทรพจน์68ปีญี่ปุ่นแพ้สงคราม

18 ส.ค. 2556

ไม่มีคำ'เสียใจ'ในสุนทรพจน์ 68 ปีญี่ปุ่นแพ้สงคราม : คอลัมน์เปิดโลกวันอาทิตย์

                กลางเดือนสิงหาคมของทุกปี ศาลเจ้ายาสุกุนิ อันสงบเงียบในกรุงโตเกียวจะต้องกลายเป็นจุดร้อน เมื่อบรรดานักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐบาลญี่ปุ่น ทยอยเข้าสักการะดวงวิญญาณผู้เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามอื่นๆ ที่มีอาชญากรสงครามคนสำคัญ 14 คน ซึ่งมีนายพลฮิเดกิ โตโจ นายกรัฐมนตรีในสมัยสงครามผู้สั่งโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ และนำสหรัฐเข้าสู่สงคราม (ถูกประหารชีวิตในปี 2491) รวมอยู่ด้วย

               ตามด้วยเสียงประท้วงอย่างโกรธเกรี้ยวจากเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีใต้และจีน ที่รำลึกวันที่ 15 สิงหาคม เป็นวันปลดแอกจากการยึดครองของญี่ปุ่น และยังขุ่นเคืองกับท่าทีของเพื่อนบ้านไม่เสื่อมคลายเพราะมองว่ายังสำนึกความผิดในอดีตไม่มากพอ

               ศาสเจ้ายาสุกุนิ จึงปลุกความขมขื่นได้ทุกครั้งแม้เวลาผ่านไป 68 ปี ตั้งแต่สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ ประกาศยอมจำนนต่อฝ่ายพันธมิตร เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2488

               ในปีนี้ ยิ่งเป็นที่จับตา เมื่อแดนอาทิตย์อุทัยอยู่ภายใต้นายกรัฐมนตรีชื่อ ชินโซ อาเบะ ผู้นำสายเหยี่ยวที่ไม่ธรรมดา และมีท่าทีแปลกไปจากผู้นำคนก่อนๆ หลายเรื่องนับจากเข้ารับตำแหน่ง

               กระนั้น แม้เคยพูดว่าเสียใจที่ตอนเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรกหนึ่งปีช่วง 2549-2550 ไม่ได้ไปศาลเจ้ายาสุกุนิ ในวันครบรอบปีรำลึกวันยอมแพ้สงคราม แต่ในฐานะผู้นำประเทศก็ตระหนักดีถึงความเสียหายที่จะเกิดจากความสัมพันธ์เสื่อมทรามกับเพื่อนบ้านยักษ์ใหญ่และเป็นตลาดใหญ่อย่างจีน ดังเป็นที่ประจักษ์แล้วว่ากระแสประท้วงต่อต้านในจีน หลังรัฐบาลญี่ปุ่นได้เข้าซื้อเกาะพิพาทจากเอกชนเมื่อปีที่แล้ว ส่งผลต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นเพียงใด นายอาเบะจึงตัดใจ และได้บอกกล่าวล่วงหน้าหนึ่งวันแล้วว่าจะไม่ไป แต่ได้ให้เจ้าหน้าที่ส่งต้นไม้ไหว้ไปสักการะแทนและซื้อด้วยเงินส่วนตัว กับไฟเขียวให้รัฐมนตรีไปได้

               ซึ่งปรากฏว่ามีรัฐมนตรีอย่างน้อย 3 คน และ ส.ส. 100 คน เดินทางไปเคารพดวงวิญญาณผู้เสียชีวิต รวมถึงนายเคจิ ฟูรูยา รัฐมนตรีที่รับผิดชอบสะสางกรณีสายลับเกาหลีเหนือลักพาตัวชาวญี่ปุ่น ทั้งหมดกล่าวว่า ไปศาลเจ้าด้วยเหตุผลส่วนตัวและไม่ควรที่ประเทศอื่นจะแทรกแซง แต่จีนและเกาหลีใต้ออกมาประท้วงอย่างรุนแรงเช่นเคย

               ถึงจะไม่ไปเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิ แต่นายอาเบะไม่ได้ทำให้ผิดคาดเท่าใดนัก เมื่อสุนทรพจน์เนื่องในวันรำลึกครบรอบ 68 ปีการยอมแพ้หลังสงครามโลกครั้งที่สอง แหวกธรรมเนียม ไม่เอ่ยถึงความเสียหายที่ญี่ปุ่นได้กระทำต่อเพื่อนบ้านเอเชีย เหมือนกับผู้นำญี่ปุ่นทุกคนนับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีโมริฮิโร โฮโซกาวะ ในปี 2536 เป็นต้นมา อีกทั้งไม่มีคำสัญญาว่า ญี่ปุ่นจะไม่เข้าสู่สงครามอีก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งคำมั่นสัญญาที่เป็นบรรทัดฐานในสุนทรพจน์ แม้แต่ตอนที่นายอาเบะรับตำแหน่งในสมัยแรก

               สุนทรพจน์เมื่อ 15 สิงหาคม 2550 นายอาเบะ กล่าวว่า "ญี่ปุ่นได้สร้างความเสียหายและความทุกข์ยากแก่ประชาชนในประเทศเอเชีย ข้าพเจ้าแสดงความเสียใจอย่างลึกซึ้งต่อผู้เสียชีวิตเหล่านั้น" แต่ในสุนทรพจน์ปีนี้ ไม่มีคำว่า "สำนึกผิดอย่างลึกซึ้ง" หรือ "ไว้อาลัยอย่างจริงใจ" เพื่อเป็นการไถ่โทษจากคนที่ได้รับความทุกข์ทรมาน ในช่วงที่กองทัพแห่งสมเด็จพระจักรพรรดิบุกเอเชียตะวันออก รวมอยู่ในสุนทรพจน์ไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตในสงคราม 3.1 ล้านคน จำนวนนี้เป็น 2.3 ล้านคนจากสงคราม และพลเรือน 8 แสนคนที่เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศ รวมถึงระเบิดปรมาณูฮิโรชิมา และนางาซากิ

               ในพิธีรำลึกที่จัดขึ้นในหอประชุม นิปปอน บูโดกัน ในกรุงโตเกียว ซึ่งมีสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักพรรดินีมิชิโกะ เข้าร่วม พร้อมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐมนตรีราว 100 คน รวมทั้งญาติของผู้เสียชีวิตในสงครามราว 5,000 คน ผู้นำญี่ปุ่นได้กล่าวถึงผู้เสียชีวิตในสงครามว่า "สันติภาพและความรุ่งเรืองที่เรามีกันอยู่ทุกวันนี้ สร้างขึ้นโดยความเสียสละชีวิตอันล้ำค่าของพวกท่าน" และกล่าวถึงการให้ความช่วยเหลือของญี่ปุ่นแก่ประเทศต่างๆเมื่อสิ้นสุดสงคราม

               ถ้อยแถลงของนายอาเบะ ตอกย้ำอีกครั้งว่าการกลับมานั่งเก้าอี้ผู้นำครั้งนี้ มาพร้อมกับทัศนคติที่จะรื้อประวัติศาสตร์ใหม่

               ปลายเมษายน นายอาเบะบอกกับสภาไดเอ็ตว่า จะไม่ยึดแถลงการณ์ปี 2538 ของอดีตนายกรัฐมนตรีโตมิอิชิ มูรายามา เนื่องในวาระครบ 50 ปีสงครามยุติ ที่ว่า "ญี่ปุ่นไม่ควรลืมว่าได้สร้างความเสียหายใหญ่หลวงและทุกข์ทรมานต่อประชาชนในหลายประเทศโดยเฉพาะในประเทศเอเชีย ผ่าน "ความก้าวร้าว" และการยึดอาณานิคม"

               นายอาเบะอ้างว่าความก้าวร้าวที่ว่า อาจตัดสินแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับคุณอยู่ฝ่ายใด ไม่มีนิยามคำนี้ในทางวิชาการและระหว่างประเทศ แต่ต่อมา ได้พูดเพิ่มเติมว่า การตีความเรื่องนี้ ควรให้เป็นหน้าที่ของนักวิชาการ

               นอกจากนี้ที่ผ่านมา นายอาเบะยังแสดงท่าทีที่สร้างความไม่สบายใจแก่เพื่อนบ้านโดยเฉพาะในห้วงเวลาที่กำลังตึงเครียดกับจีนจากปัญหาแย่งชิงกรรมสิทธิ์หมู่เกาะในทะเลจีนตะวันออกว่า จะไม่ยึดหลักการสำคัญที่ช่วยให้ญี่ปุ่นได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาคมโลกตลอดมา นั่นคือการจำกัดบทบาทกองทัพ

               นายอาเบะต้องการให้ญี่ปุ่นมีสิทธิที่จะร่วมป้องกันตนเองร่วมกับประเทศอื่น คือใช้กำลังทางทหารช่วยปกป้องพันธมิตรได้ แม้ว่าญี่ปุ่นไม่ได้ถูกโจมตีเองก็ตาม แต่ตามรัฐธรรมนูญแล้วไม่อนุญาต การใช้สิทธิป้องกันตนเองร่วม จะเท่ากับการล้มล้างบทบัญญัติว่าด้วยการห้ามข้องเกี่ยวกับสงครามในมาตรา 9 และในระยะยาว อาจปูทางไปสู่การที่รัฐบาลส่งกองกำลังไปประจำการในต่างประเทศ เพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่มิใช่การป้องกันญี่ปุ่นโดยตรง ขณะเดียวกัน มีรายงานว่านายอาเบะมีแผนจะเลี่ยงกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบปกติ ด้วยการประกาศใช้กฎหมายอนุญาตให้ญี่ปุ่นใช้สิทธินี้ได้ แต่หากเป็นความจริง ก็จะเท่ากับเป็นการแก้ไขมาตรา 9 แห่งรัฐธรรมนูญในทางพฤตินัย และเป็นวิธีการที่บั่นทอนหลักการประชาธิปไตย

               นอกจากนี้ ในร่างรายงานว่าด้วยแผนป้องกันประเทศฉบับใหม่ กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นยังแย้มว่ารัฐบาลต้องการขีดความสามารถด้านการ "โจมตีฐานขีปนาวุธของศัตรูก่อน" รายงานเรียกร้องให้ตั้งกองกำลังสะเทินน้ำสะเทินบกที่มีขีดความสามารถด้านการยกพลขึ้นบนเกาะห่างไกล คล้ายกับบทบาทของหน่วยนาวิกโยธิรนสหรัฐ ตลอดจนนำเครื่องบินสอดแนมแบบไร้คนขับเพดานบินสูงเข้ามาใช้ด้วย

               และเมื่อไม่นานมานี้ ญี่ปุ่นก็เพิ่งเฉลิมฉลองการเปิดตัวเรือพิฆาต อิซูโม ซึ่งเป็นเรือรบที่มีขนาดใหญ่สุดตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นชื่อเดียวกับเรือรบลำหนึ่งในราชนาวีจักรวรรดิญี่ปุ่นที่ใช้โจมตีสหรัฐในปี 2548

               ในงานพิธีรำลึก 68 ปีวันยอมแพ้สงครามเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นางมิชิโกะ โทยา วัย 92 ปี กล่าวว่า สงครามเป็นเรื่องโหดร้ายทารุณ เธอไม่อยากให้ใครต้องพบความโศกเศร้าและความลำบากที่ครอบครัวเคยเผชิญอีก

               สามีของนางโทยาเสียชีวิตที่เกาะอานามิ โอชิมะ ในจ.คาโกชิมา ราว 5 เดือนก่อนญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้

               สมเด็จพระจักรพรรดิอาคิฮิโตะ พระราชบิดา สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ ทรงเป็นประมุขในยุคสงคราม ตรัสเช่นกันว่าญี่ปุ่นไม่ควรทำสงครามอีก พระองค์หวังว่าการทำลายล้างจากสงคราม จะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว และขอแสดงความเสียใจอย่างลึกซึ้งต่อผู้สูญเสีย

               เกือบ 70 ปีผ่านไป ผู้เข้าร่วมพิธีรำลึก สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านสู่คนรุ่นหลังมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากผู้ที่เคยมีชีวิตและประสบการณ์จากสงครามทยอยล้มหายตายจาก

               ญาติของผู้เสียชีวิตในสงครามที่ร่วมพิธีรำลึกในปีนี้ ราว 70% อายุ 70 ปีขึ้นไป และมีสตรีม่ายที่สูญเสียสามีในสงครามเพียง 16 คนที่เข้าร่วม น้อยที่สุดนับตั้งแต่รัฐบาลเริ่มเก็บข้อมูลในปี 2524 และเป็นปีที่ 3 แล้วที่งานพิธีไม่มีคนรุ่นพ่อแม่ของผู้เสียชีวิตในสงครามเข้าร่วม นอกจากนี้ จำนวน 2 ใน 3 ของญาติ ก็เป็นรุ่นลูกและหลานของผู้เสียชีวิตแล้ว

               เป็นเรื่องท้าทายสำหรับญี่ปุ่นจะเก็บความทรงจำและความสูญเสียของประเทศจากสงคราม ให้คงอยู่เป็นบทเรียนอย่างไรและรูปแบบไหน

               แถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีมูรายามา ที่ว่า "ญี่ปุ่นมีภารกิจที่จะต้องถ่ายทอดความน่าสะพรึงกลัวของสงครามสู่คนรุ่นหลัง เพื่อที่เราจะไม่ซ้ำรอยความผิดพลาดในประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นจะต้องกำจัดลัทธิชาตินิยมขวาจัด ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ เป็นสมาชิกประชาคมโลกที่มีความรับผิดชอบ และผลักดันหลักการแห่งสันติภาพและประชาธิไตย" จะได้รับการยึดถืออย่างเคร่งครัดต่อไปหรือไม่

 

................................................

(ไม่มีคำ'เสียใจ'ในสุนทรพจน์ 68 ปีญี่ปุ่นแพ้สงคราม : คอลัมน์เปิดโลกวันอาทิตย์)