
คนไทยใส่ใจเรื่อง'เขา'หรือเรื่อง'เรา'มากกว่ากัน
คนไทยใส่ใจเรื่อง'เขา'หรือเรื่อง'เรา'มากกว่ากัน : ต่อปากต่อคำ โดยดร.อมร วาณิชวิวัฒน์ [email protected]/ twitter@DoctorAmorn
ชื่อเรื่องของบทความวันนี้เป็นคำถามที่มีความตั้งใจจะถามไปถึงทุกคนว่า คนไทยส่วนใหญ่ให้ความสนใจในการ “พัฒนาปรับปรุงตัวเองให้ดีกว่าเจริญกว่าคนอื่นหรือยังคงสาละวนสนใจกับเรื่องของชาวบ้าน กระทั่งลืมไปว่าหน้าที่ความรับผิดชอบในการทำให้ตัวเองเป็นแบบอย่างที่ดีก้าวหน้ายิ่งขึ้นนั้นควรทำอย่างไร”
ผมเห็นปรากฏการณ์ “เอ๋-เจนี่" และดารานักร้องนักแสดงหลายคน ที่เป็นข่าวเกรียวกราวในระยะนี้ กระทั่งเรื่องสำคัญของบ้านเมืองอย่างการพิจารณางบประมาณ การนิรโทษกรรม กลายเป็นเรื่องรองลงไปถนัดตา หลายรายการข่าวทางวิทยุโทรทัศน์ยังถึงกับพูดในรายการว่า ขอเว้นการเมืองมาพูดเรื่อง “การบ้าน" ในวันที่ข่าวดาราคนดังประกาศครองชีวิตร่วมกัน สะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่ “สื่อ” เองยังคุมอารมณ์ความรู้สึกไม่อยู่ บ่งบอกความเป็นสังคมแห่งการใช้อารมณ์อยู่เหนือ “เหตุและผล” ดังที่มีคนในของเรากระทั่งคนต่างชาติพูดบ้างเขียนติติงเอาไว้อย่างแท้จริง
ในขณะที่ “สื่อ" และสมาคมสื่อยังพ่วงอยู่กับกรณีคาบเกี่ยวเรื่องการโพสต์ข้อความของบรรณาธิการสำนักข่าวไทยพีบีเอส ที่มองต่างมุมกับทาง “ดีเอสไอ" ในความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จึงทำให้หลายๆ เรื่องที่ “สื่อ” ควร “เกาะติด” อย่างกรณี สมีคำ การปลอมวุฒิบัตร การฉ้อฉลกลโกงของทั้งคนและองค์กรต่างๆ หลายๆ แห่งพลอยได้รับอานิสงส์จากการที่ “สื่อ” พากันละเลยหรือทำข่าวหายไปจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ไปอย่างไม่น่าเชื่อ
ต้องเรียนว่า ไม่มีเจตนายุยงส่งเสริมให้คนไทยหมกมุ่นคิดอะไรก็นึกถึงแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง เพราะนั่นไม่ใช่ความพยายามในการจะบอกว่า “สนใจตัวเองมากไปหรือน้อยไป” เพราะการสนใจตัวเองมากไป บางทีจะทำให้ตัวเราสามารถเรียนรู้วิธีแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องต่างๆ กระทั่งเอาไปแนะนำสั่งสอนให้ความรู้คนอื่นที่มีปัญหาคล้ายๆ กันได้ดีกว่า ไปเอาปัญหาของคนอื่นมาเป็นอารมณ์หรือมาคอยชี้ผิดถูก แทนเขา เพราะเอาเข้าจริง ปัญหาในครอบครัวของมนุษย์ปุถุชนเป็นเรื่องของ “คนใน” ที่เขาอยู่ร่มไม้ชายคาเดียวกัน กินอยู่หลับนอนกันเป็นสามีภรรยาเป็นครอบครัว ย่อมรู้ดีกว่าคนอื่นๆ
ถึงกระนั้นก็ขอ “ติติง” ไปถึง “ดารา นักแสดงทั้งหลาย” ที่มีสถานะเป็น “บุคคลสาธารณะ" ซึ่งการเผยแพร่ข่าวสารหรือพฤติกรรมการแสดงออกในทุกเรื่องพึงกระทำด้วยความระมัดระวัง เพราะในฐานะ “ตัวแบบของบุคคลอื่น" จะคิดนึกกระทำการใดๆ ต้องรอบคอบ ต้องคำนึงตลอดเวลาว่า อาจมีผู้มีความคิดน้อย ใช้อารมณ์มากอยู่ร่วมกันในสังคมนี้ด้วย บางทีเขาอาจนำไปเป็นเรื่องจริงจังหรือรับไปเป็นแบบแผนแนวปฏิบัติซึ่งเกิดจากการลุ่มหลงชื่นชมคนดังเหล่านั้น
ผมไม่เห็นด้วยกับการที่ “สื่อ” จะทำหน้าที่ในการบอกกล่าวเผยแพร่การแถลงเรื่องราวในครอบครัวของคนนั้นคนนี้ เหมือนพวก “ปาปาราซซี” ไล่ล่าหาข่าวมาป้อนผู้บริโภค เพราะการที่สื่อยิ่งช่วยกระพือข่าวเหล่านี้ออกไปมากเท่าไรก็จะทำให้เกิดความรู้สึกได้ว่า “สื่อเหมือนกำลังรับงานอีเวนท์เป็นโฆษณาแฝงบนพื้นที่ข่าว” ซึ่งเป็นเรื่องที่สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคอาจต้องเข้ามาช่วยดูแลรูปแบบวิธีการประชาสัมพันธ์แบบสีหม่นๆ ลักษณะนี้ ซึ่งปัจจุบันพบเห็นอยู่ค่อนข้างมาก
บทเรียนจากหลายๆ เรื่องบอกให้ทราบได้ว่า ทักษะในการจัดความสำคัญของเรื่องราวต่างๆ ทั้งในชีวิตของคนธรรมดาทั่วไปและคนที่น่าจะทำหน้าที่ชี้นำสังคมในทางที่ถูกที่ควร กำลังเกิดอาการวิปริตผิดเพี้ยนกันไปคนละทิศคนละทาง หากสังคมของพวกเรามีความเข้มแข็งและสามารถช่วยกันบ่มเพาะ “สุขนิสัย" ในการเรียนรู้และลอกแบบกันในทางที่ถูกต้องได้อย่างสัมฤทธิผล เราคงไม่เห็นพวกคนออกมาฟูมฟายหรือแสดงอาการซึมเศร้ากับการที่พระบางรูปสึกออกมาอยู่กับสีกา ซึ่งสิ่งที่ทำให้ใจน่าจะเศร้าหมองยิ่งกว่าการที่พระสึก น่าจะเป็นการเอาเรื่องราวของคนสองคนในฐานะคู่ผัวตัวเมียออกมาเผยแพร่อย่างต่อเนื่องเกินความจำเป็น ซึ่งถือว่าเรื่องนี้เป็นตัวอย่างการบริหารจัดการของ “สื่อหลายสื่อ" ที่ขอชมเชยเพราะว่า สามารถ “รู้เท่าทัน" และบริหารจัดการการนำเสนอได้อย่างพอเหมาะพอสม ไม่เน้น “การขายข่าวเล่าเรื่อง" ปั่นกระแสให้สังคมว้าวุ่นใจหรือคอยสนอกสนใจแต่เรื่อง “ชาวบ้านร้านตลาด" อย่างที่มีสื่อหลายสื่อนิยมชมชอบ จึงขอกระตุ้นให้สังคมของเราหันมาดูแลใส่ใจกับเรื่องของเรากันเองให้มากยิ่งขึ้น และไม่นิ่งดูดายกับปัญหาของสังคม บ้านเมือง คือ ขอให้รู้จักบริหารจัดการให้ได้ดุลทั้งเรื่องตัวเองและเรื่องชาวบ้าน