ข่าว

หัวมังกรกับหางหมา:การเมืองแบบไทยแลนด์

หัวมังกรกับหางหมา:การเมืองแบบไทยแลนด์

28 มิ.ย. 2556

หัวมังกรกับหางหมา:การเมืองแบบไทยแลนด์ : วันเว้นวันจันทร์ พุธ ศุกร์กับประภัสสร เสวิกุล


             ปรากฏการณ์หน้ากากขาว ที่เริ่มต้นทางโซเชียลมีเดีย และการชุมนุมเพียงหลักร้อยในสัปดาห์แรก ก่อนเพิ่มจำนวนเป็นหลักพันและหลายพันในสัปดาห์ต่อๆ มา รวมทั้งมีการขยายตัวจากกรุงเทพฯ ออกไปยังต่างจังหวัดและต่างประเทศนั้น ทำท่าจะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เสียแล้วสิครับ เพราะไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่า จะเพิ่มขึ้นอีกสักเท่าไหร่ และจะยาวนานไปอีกกี่สัปดาห์ หรือยืดเยื้อจนกลายเป็นประเด็นร้อนสำหรับรัฐบาลหรือไม่ แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ การรวมตัวของคนหน้ากากขาวเป็นไปในลักษณะของการทำกิจกรรมทางการเมืองร่วมกัน โดยไม่น่าจะมีการจัดตั้ง หรือผู้หนึ่งผู้ใดออกมาแสดงตัวเป็นผู้นำกลุ่ม ซึ่งการรวมตัวเช่นนี้ เป็นการรวมกันแบบหลวมๆ หรือเฉพาะกิจ และอาจสลายตัวลงเมื่อบรรลุสิ่งที่เรียกร้องต้องการ โดยไม่มุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมือง

             ถ้าจะพูดไปแล้ว ปรากฏการณ์หน้ากากขาวจะมีส่วนคล้ายคลึงกับการปฏิวัติดอกมะลิในตูนืเซีย ที่เริ่มต้นจากความไม่พอใจรัฐบาลในเรื่องเศรษฐกิจ และถูกจุดชนวนด้วยการกระทำที่ไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ จนเกิดการเผาตัวตาย แล้วกระแสการประท้วงก็ลุกลามไปทั่วประเทศ โดยอาศัยสังคมออนไลน์เป็นสื่อสำคัญ จนสามารถโค่นล้มผู้นำที่ครองอำนาจมายาวนานถึง 23 ปี ลงได้ อย่างไม่มีใครคาดคิด รวมทั้งแพร่แนวคิดนี้ออกไปยังประเทศใกล้เคียง และในภูมิภาคอื่นด้วย

             ความจริงแล้วเรื่องความไม่เป็นธรรม หรือไม่ถูกทำนองคลองธรรมนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศที่ด้อยพัฒนาและประเทศเผด็จการเป็นปกติ แต่ที่เกิดเป็นเหตุใหญ่โตขึ้นในตูนิเซียก็เพราะความเหลืออดเหลือทน และระบบเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์ก ที่กระจายข่าวได้อย่างกว้างขวาง รวดเร็ว และปลุกอารมณ์ร่วมอย่างได้ผล โดยเฉพะอย่างยิ่งต่อคนรุ่นใหม่ ที่อ่อนไหวต่อเรื่องราวที่พบเห็น ขาดความอดทนอดกลั้น และรักความยุติธรรม

             มีผู้สันทัดกรณีแสดงความห่วงใยต่อกลุ่มหน้ากากขาวว่า ถึงแม้จะมีพลังพอสมควร แต่ก็ไม่มีพลานุภาพเพียงพอที่จะทำอะไรได้ เนื่องจากขาดผู้นำ ซึ่งจะนำพาขบวนการ เปรียบก็เหมือนกับมังกรที่ไร้หัว ย่อมยากที่จะต่อสู้กับใครได้ แต่เมื่อย้อนไปดูปฏิวัติดอกมะลิ เราก็จะเห็นว่า ในการเริ่มต้นนั้นก็ไม่มีใครเป็นผู้นำ แต่ต่างคนต่างก็ออกมาด้วยจิตสำนึกเดียวกัน ซึ่งน่าจะดีกว่าการอุปโลกน์หัวมังกรขึ้นมา แต่เป็นหัวที่เน่าๆ หัวมังกรกำมะลอ หรือหัวที่สอดส่ายสายตาหาประโยชน์ใส่ตน โดยอาศัยฤทธิ์เดชของมังกรเป็นเครื่องมือ ดังเช่นที่เห็นกันมานักต่อนักแล้วและอย่างน้อย มังกรที่ไร้หัวนี้ ก็ยังดีกว่ามังกรหลายหัวแถวๆ สนามหลวงล่ะครับ

             ผมมีความเชื่ออย่างเชยๆ ว่า สิ่งที่จะต่อสู้กับอำนาจการเมืองที่สกปรกได้นั้น มีอยู่เพียงอย่างเดียว คือ พลังที่บริสุทธิ์และจะแปลกอะไรเล่าครับ ถ้าจะให้มังกรที่ไร้หัวต่อสู้กับสุนัขสามหัวที่เฝ้าประตูนรก ซึ่งภายในหัวของมันไม่มีมันสมองความคิด หรืออุดมการณ์ใดๆ

             ครับ นักการเมืองถ้าลงปราศจากอุดมการณ์ทางการเมืองเสียแล้ว และคิดแต่จะรับใช้ผู้มีอำนาจโดยไม่ใส่ใจว่าอำนาจนั้นจะได้มาโดยทางใด หรือแสวงหาประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้อง สามารถพูดดำให้เป็นขาวได้โดยไม่มีความละอายแก่ใจ นักการเมืองประเภทนี้ก็เหมือนกับหางหมา ที่มีไว้แค่กระดิกแสดงความจงรักภักดีต่อเจ้านายของมันเท่านั้นเอง

             ไม่มีคุณค่าอย่างอื่นหรอกครับ