
'ช้างเผือกพม่า'หรือเป็นบรรณาการยุคใหม่
'ช้างเผือกพม่า' หรือเป็นบรรณาการยุคใหม่ : นันทิดา พวงทอง - สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ... รายงาน
การที่ประเทศไทยเจรจาขอยืม ช้างเผือก จากรัฐบาลเมียนมาร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำมาให้นักท่องเที่ยวได้ชมที่ จ.เชียงใหม่ และเป็นสัญลักษณ์ 65 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เมียนมาร์
ในทางการทูต การขอ หรือให้ของขวัญระหว่างกันสามารถทำได้ ถือเป็นการแสดงความปรารถนาดีต่อกัน
ทว่าสิ่งสำคัญอยู่ที่ "ของที่ขอ" หรือ "ของที่ให้" คือ อะไร?
กรณี "ช้างเผือก" เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่จำเป็นต้องคำนึงถึงเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะช้างเผือกในบริบทความสัมพันธ์ไทย-เมียนมาร์ โดยทางคติพจน์ของ 2 ประเทศ ช้างเผือกเป็นช้างคู่บุญบารมีพระมหากษัตริย์ สำหรับเมียนมาร์ แม้ขณะนี้จะไม่มีสถาบันกษัตริย์ และเป็นราชอาณาจักรพม่าเหมือนในอดีต แต่ในทางการเมือง ช้างเผือกยังคงแสดงถึงอำนาจบารมีของผู้นำประเทศทุกยุคทุกสมัย รวมทั้งเป็นช้างคู่บ้านคู่เมืองด้วย
จากข้อมูลพบว่า ปัจจุบันมีช้างเผือกที่พบในประเทศไทยจำนวน 10 ช้าง
ขณะที่เมียนมาร์มีอยู่ 8 เชือก และตั้งปางช้างเผือกที่ให้การดูแลอย่างจริงจังในสมัย พลเอกอาวุโสตัน ฉ่วย ผู้นำสูงสุดรัฐบาลพม่า ในเรื่องนี้ทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า ช้างเผือกเป็นช้างที่เมียนมาร์ยังคงยกย่องและช่วยเสริมอำนาจบารมีของผู้นำประเทศมาจนถึงขณะนี้
ย้อนไปดูประวัติศาสตร์ก่อน พ.ศ.2100 สมัยอยุธยา ช้างเผือกในบริบทของความสัมพันธ์สยาม-พม่า มีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเขียนไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์ไทยรบพม่า ระบุว่า ช้างเผือกเป็นข้ออ้างในการทำสงครามระหว่างกันในสมัยพระมหาจักรพรรดิ และพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ โดยขณะนั้นพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ต้องการรวบรวมแผ่นดินพม่า มอญ และไทยใหญ่ให้เป็นปึกแผ่น แต่ไม่อยากทำการศึกสงครามให้เสียเลือดเนื้อ พระเจ้าตะเบงชะเวตี้จึงมีพระราชส่งสาส์นมายังพระมหาจักรพรรดิ เพื่อขอช้างเผือก
พระมหาจักรพรรดิทรงไตร่ตรองแล้วว่า หากส่งช้างเผือกไปยังพม่าก็เหมือนการส่งเครื่องบรรณาการ เท่ากับสยามตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าแล้ว ครั้งนั้นพระมหาจักรพรรดิทรงไม่ยินยอมส่งช้างเผือกให้พม่า ทำให้พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ส่งทหารมาล้อมเมืองไว้ กระทั่งเกิดสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งแรก ชาวสยามต้องตกเป็นเชลยศึก และเสียช้างเผือกไป 2 ช้าง ช้างทั่วไป 30 เชือก และวัวควายจำนวนมาก ทำให้เห็นว่า ช้างเผือกในทางบริบทการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องใช้ความระมัดระวัง หากเป็นไปได้ก็ไม่ควรรื้อฟื้นขึ้นมาอีก
การเจรจาขอยืมช้างเผือกก็พอจะคาดการณ์ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้ คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เมียนมาร์จะพิจารณามอบช้างเผือกให้ไทยได้ขอยืมมาชื่นชม ขณะเดียวกัน การเจรจาทางการทูตเพื่อขอยืมช้างเผือกให้ทำหน้าที่ทูตสันถวไมตรี โดยเปรียบเทียบศักดิ์ศรีเท่ากับแพนด้า เสือโคร่ง หรือช้างทั่วไป ก็คงไม่ได้ เนื่องจากไม่มีความหมายในเชิงการเมืองการปกครองเช่นเดียวกับช้างเผือก
ที่ผ่านมา ประเทศไทยเคยมอบช้างเป็นสัญลักษณ์ทางการทูตให้แก่สหรัฐอเมริกา ในสมัยรัชกาลที่ 5 และปี 2548 รัฐบาลไทยได้มอบช้างไทยให้แก่ออสเตรียเลียเป็นการชั่วคราว โดยสมัยนั้นกลุ่มอนุรักษ์ได้ออกมาคัดค้าน
ทั้งนี้ หากประเทศใดมาเจรจาขอยืมช้างเผือกประเทศไทยบ้าง ก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดใคร่ครวญอย่างหนัก และต้องคำนึงถึงกระแสสังคมด้วย เชื่อว่าคงสร้างความหนักใจให้แก่รัฐบาล โดยที่รัฐบาลและเสียงสังคมส่วนใหญ่คงไม่ให้ช้างเผือกแก่ชาติอื่นเช่นกัน
การที่ นายวันนา หม่อง ลวิน รัฐมนตรีต่างประเทศเมียนมาร์ กล่าวปฏิเสธอย่างนุ่มนวล โดยอ้างเงื่อนไขการขนส่งช้างเผือกไปยัง จ.เชียงใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าต้องการให้คนไทยได้ชื่นชมให้จัดเที่ยวบินพิเศษบินตรงมายังเมียนมาร์ น่าจะง่ายกว่า รวมทั้งตรงตามเป้าหมายของไทย ที่ต้องการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของสองประเทศ
จะเห็นว่า การที่รัฐบาลเมียนมาร์กล่าวปฏิเสธด้วยวาจา โดยไม่มีหนังสือตอบอย่างเป็นทางการ นับเป็นความโชคดีที่ยังไว้หน้าประเทศไทยในเชิงการทูต ฉะนั้นรัฐบาลไทยไม่ควรดึงดันต่อไปอีก เพราะจะทำให้บรรยากาศอันดีในความสัมพันธ์เสียไปได้
หากยังดื้อดึงต่อไปอาจจะเป็นการเสียหน้า ถ้าเมียนมาร์ปฏิเสธอย่างเป็นทางการ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์อย่างแน่นอน
...........................................
('ช้างเผือกพม่า' หรือเป็นบรรณาการยุคใหม่ : นันทิดา พวงทอง - สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ... รายงาน)