
พบดงหิ่งห้อยนับแสน-ชาวลับแลพบกรามช้าง
ชาวบ้านตื่นเต้น หิ่งห้อยนับแสนตัวบินว่อนเต็มสวนยางพาราบ้านรักไทย ต.ชมพู อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก อีกที่'ชาวสวนทุเรียนลับแล'ฮือฮาพบฟอสซิลกรามช้างโบราณ
เมื่อคืนวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านรักไทย ม.7 ต.ชมพู ต.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ว่า มีปรากฏการณ์ประหลาด หิ่งห้อยนับแสน ๆ ตัว บินว่อนเต็มสวนยางพาราของชาวบ้านรักไทย มีทั้งหิ่งห้อยทั่วไปขนาดเล็ก และหิ่งห้อยช้างขนาดใหญ่ ที่เปล่งแสงจากตัวเรืองแสงระยิบระยับสวยงามเป็นอย่างมาก ชาวบ้านในละแวกนั้นที่ทราบข่าวต่างมาชมหิ่งห้อยเรืองแสงในช่วงเวลาตั้งแต่เวลา 19.00 น.เป็นต้นไปเป็นจำนวนมาก เนื่องจากปีนี้ มีหิ่งห้อยออกมามากกว่าฤดูฝนปกติ
ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพิสูจน์จุดที่ชาวบ้านแจ้งว่า มีหิ่งห้อยนับแสน ๆ ตัวออกมาบินว่อน ชาวบ้านนำโดยนายสมประสงค์ อารมณ์ชื่น ผู้ใหญ่บ้าน ม.7 บ้านรักไทย และนายชอบ จักรแก้ว ส.อบต.บ้านรักไทย และน.ส.ณัฐชลิดา นรัตกุล ประธานกลุ่มโฮมสเตย์บ้านรักไทย พร้อมกับชาวบ้านรักไทยอีกหลายคน ได้พาผู้สื่อข่าวเดินทางไปพิสูจน์ โดยพบว่า จุดที่หิ่งห้อยออกมาบินเปล่งแสงมากที่สุด อยู่บริเวณสวนยางพาราของชาวบ้านบ้านรักไทย ห่างจากพลับพลาที่ประทับ อ่างเก็บน้ำบ้านรักไทย ประมาณ 3 กิโลเมตร หรือห่างจากตัวหมู่บ้านรักไทยประมาณ 5 กิโลเมตร
ทั้งนี้ พื้นที่ดังกล่าวเป็นสวนยางพารา ที่ปลูกมาแล้วประมาณ 7-10 ปี อยู่ใกล้กับแนวเขตป่าของอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง เป็นแปลงสวนยางพาราของชาวบ้านหลายราย เนื้อที่รวมประมาณ 1,000 ไร่ พบว่า ตั้งแต่ช่วงเวลา 19.00 น.เป็นต้นไป มีหิ่งห้อยจำนวนมาก บินเต็มพื้นที่สวนยางพารา โดยเริ่มบินเหนือระดับพื้นดินประมาณ 1-2 เมตร และจะค่อยๆ บินไต่ระดับสูงไปเรื่อย ๆ กระทั่งบินจับกลุ่มบนยอดต้นยางพารา ในช่วงเวลาประมาณ 21.00 น. ขณะที่บริเวณพื้นดินของสวนยางพารา ที่ถับถมด้วยใบไม้ยางพารา ก็พบแมลงชนิดหนึ่ง เปล่งแสงเต็มพื้นไปหมด เป็นแมลงขนาดใหญ่ความยาวประมาณ 2 นิ้ว คล้ายแมลงสาป ที่บริเวณก้นของแมลงตัวนี้ เปล่งแสงเรืองรอง เหมือนกับหิ่งห้อยที่บินว่อนอยู่เต็มสวนอย่างพารา แต่แมลงชนิดนี้ ตัวใหญ่กว่าหิ่งห้อยมาก
จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า แมลงชนิดนี้ คือ หิ่งห้อยช้าง ชาวบ้านบ้านรักไทยเรียกกันต่อ ๆ กันว่า นางพญาหิ่งห้อย เป็นแมลงที่สามารถทำแสงได้เหมือนกับหิ่งห้อย หิ่งห้อยช้างสามารถเปล่งแสงเย็น สีเหลืองอมเขียวเป็นดวงไฟสว่างอยู่ตลอดเวลาโดยไม่กระพริบ เนื่องจากตัวเมียมีลักษณะเหมือนหนอนมีขนาดค่อนข้างใหญ่ลำตัวยาวถึง 6-10 เซนติเมตร ที่ทำแสงอยู่ที่ปล้องท้องใกล้ส่วนปลายมีขนาดใหญ่ แสงที่ปล่อยออกมาจึงสว่างมากและเปิดอยู่นาน ไม่กระพริบเหมือนหิ่งห้อยทั่วไป หิ่งห้อยช้างมักหลบซ่อนตัวอยู่ตามใบไม้ผุที่ทับถมกันอยู่ในป่าเสื่อมโทรม โดยม้วนงอตัวเป็นลูกทรงกลม ในเวลากลางคืนมักเป็นช่วงหัวค่ำพบว่า คลานบนพื้นได้ว่องไวเพื่อหาอาหาร ที่บางครั้งพบไต่อยู่ตามต้นไม้สูง 1-2 เมตรจากพื้นดิน เปิดไฟสว่างเพื่อดึงดูดให้ตัวผู้บินมาผสมพันธุ์ ตัวผู้มีขนาดเล็กมากมีลำตัวยาวไม่ถึง 1 เซนติเมตร มีลักษณะคล้ายด้วงหนวดยาว คือ มีปีกสองคู่สามารถบินไปหาตัวเมียได้ และผู้สื่อข่าวก็พบหิ่งห้อยช้าง เปล่งแสงเรืองรองเต็มพื้นดินจำนวนมาก
นายสมประสงค์ เปิดเผยว่า ปกติแล้ว ที่บ้านรักไทยในช่วงฤดูฝน ก็มักจะมีหิ่งห้อยออกมาบินอยู่แล้ว แต่ปีนี้กลับพบว่า มีหิ่งห้อยออกมาบินในสวนยางพารามากกว่าปกติ ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา โดยเฉพาะช่วงฝนเริ่มตกใหม่ ๆ จะมีหิ่งห้อยออกมาบินจำนวนมาก จนส่องแสงสว่างเต็มสวนยางพาราเต็มไปหมด ชาวบ้านที่ทราบข่าวก็แห่พากันมาชม
น.ส.ณัฐชลิดา เปิดเผยว่า หิ่งห้อยนับแสน ๆ ตัวที่บินเต็มบ้านรักไทยนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ การทำเกษตรในพื้นที่บ้านรักไทย ที่มีผลไม้หลากหลายชนิดทั้งลำไย ทุเรียน มะเฟือง และสวนยางพารา แสดงให้เห็นว่า การลดการใช้สารเคมี ทำให้ธรรมชาติมีความอุดมสมบูรณ์อย่างมาก และไม่ใช่เฉพาะจุดสวนยางพาราแห่งนี้แห่งเดียวที่มีหิ่งห้อย แต่ยังพบว่า มีหิ่งห้อยกระจายไปตามบ้านเรือนประชาชนทั้ง 4 หมู่บ้าน ในเขตต.ชมพู อ.เนินมะปราง ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาแห่งนี้
นายชอบ จักรแก้ว ประธานชรรมอนุรักษ์ท่องเที่ยวบ้านรักไทย เปิดเผยว่า ในเขต 4 หมู่บ้านของต.ชมพู อ.เนินมะปราง ที่อยู่บนเทือกเขาสูงประมาณ 300 เมตรนี้ อุดมสมบูรณ์ด้วยธรรมชาติ และพื้นที่สวนเกษตรไม้ผลจำนวนมาก โดยเฉพาะลำใน ที่ชาวบ้าน 4 หมู่บ้าน ม.7 บ้านรักไทย ม.8 บ้านเผ่าไทย ม.9 บ้านซำต้อง ม.11 บ้านร่มเกล่า และอำเภอเนินมะปรางจะจัดงานเทศกาลลำไยกันเป็นประจำทุกปี ในปีนี้ กำหนดจัดงานงันลำไย วันที่ 29-30 มิถุนายน 2556 ที่พลับพลาที่ประทับ อ่างเก็บน้ำบ้านรักไทย ม.7 ต.ชมพู แต่งานจัดในช่วงเวลากลางวัน ขณะที่ผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติ อยากจะมาพิสูจน์ชมหิ่งห้อยนับแสนตัว ก็สามารถติดต่อมาที่กลุ่มท่องเที่ยวได้ จะคอยบริการนำเข้าไปชม เพื่อความสะดวก และความปลอดภัย สามารถติดต่อได้ที่ นายพิทักษ์ สุดจันทร์ ส.อบต.ม.7 บ้านรักไทย 086-2103317 087-2031680 หรือ โทรศัพท์ของนายสมประสงค์ อารมณ์ชื่น ผญบ.ม.7 บ้านรักไทย 087-2024154 น.ส.ณัฐชลิดา นรัตน์กุล ประธานกลุ่มโฮมสเตย์บ้านรักไทย 087-2075736
ชาวสวนทุเรียนลับแล ฮือฮาพบฟอสซิลกรามช้างโบราณ
ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่าชาวสวนทุเรียน อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ พบก้อนหินประหลาดคล้ายฟันสัตว์ขนาดใหญ่ขณะเข้าสวนเพื่อตัดทุเรียนหลง-หลินลับแล ส่งค้าให้พ่อค้าแม่ค้า โดยได้มอบของดังกล่าวให้นายวิญญู ศรีเพชร รองนายกเทศมนตรีตำบลหัวดง ซึ่งเป็นเจ้าของสวนเก็บรักษาไว้ที่บ้านเลขที่ 256 หมู่ 10 ต.แม่พูล อ.ลับแล จึงประสานขอข้อมูล โดยนายวิญญู ได้นำก้อนหินประหลาดดังกล่าวออกจากตู้กระจกมาให้ชม เก็บภาพ
นายวิญญู กล่าวว่า ตนและคนงานจำนวน 5 คน นำรถจักรยานยนต์ขึ้นไปยังสวนทุเรียนที่อยู่บนภูเขาเหนือน้ำตกแม่พูล หมู่ 4 ต.แม่พูล เพื่อตัดทุเรียนหลงหลินลับแลค้าให้พ่อค้าแม่ค้า ช่วงพักคนงานได้ไปตักน้ำที่ลำห้วยห้วยแม่พูล ที่ไหลผ่านสวนของตนพบก้อนหินคล้ายฟันสัตว์ขนาดใหญ่ อยู่บริเวณริมลำห้วยค่อนข้างมีน้ำหนักจึงนำมาให้ตนดู ต่างวิจารณ์กันไปต่างๆนานาว่า เป็นส่วนไหนของสัตว์ และนำกลับมาเก็บไว้ที่บ้าน
จากนั้นจึงได้ถ่ายภาพ และเก็บรายละเอียดมีลักษณะคล้ายกับหวีกล้วยนับจำนวนได้ 14 ซี่ ยาว 1 ฟุต กว้าง 5 นิ้ว และสูงประมาณ 5 นิ้ว ส่งไปให้กับ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ อดีตรมว.มหาดไทย ช่วยดูรายละเอียด เบื้องต้นได้รับการยืนยันว่า เป็นกรามด้านในของช้างโบราณ ไม่ใช่ช้างป่า หรือช้างบ้านปัจจุบัน เพราะกระดูกกรามกลายเป็นหินแล้ว หรือฟอสซิลที่เกิดจากการทับถมของซากพืชซากสัตว์มาเป็นเวลานาน ที่ไม่ใช่เพียง 100 ปี แต่ต้องมากกว่านั้น
นายวิญญู กล่าวต่อว่า สาเหตุที่คนงานไปพบกรามช้างโบราณดังกล่าว น่าจะเป็นเพราะเมื่อปี 2549 ได้เกิดดินโคลนถล่มที่อำเภอลับแล ซากช้างโบราณที่เชื่อว่าน่าจะสมบูรณ์ครบทุกส่วนประกอบฝังอยู่ใต้ดินของภูเขาสูงจนกลายเป็นฟอสซิล เมื่อดินภูเขาถล่มจึงแตกกระจัดกระจาย ไหลหลากมาตามลำห้วย มาถึงปีนี้ 2556 มีเกิดภาวะความแห้งแล้ง น้ำลำห้วยแห้งขอด จึงทำให้กรามช้างโบราณดังกล่าวโผล่เหนือดินให้เห็นได้ชัดเจน
นางกัญญาวีร์ ศิริกาญจนลักษณ์ ฝ่ายกิจกรรมสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวว่า นายวิญญู ได้นำฟอสซิลกรามช้างโบราณชิ้นดังกล่าว ว่าให้ดูที่เฮือนลับแลของตนเช่นกัน จึงได้ศึกษาข้อมูลและรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต เชื่อว่าฟอสซิลชิ้นนี้ สมบูรณ์และมีจำนวนฟันมากถึง 14 ซี่ หากมีการศึกษาอย่างจริงจัง ถึงแหล่งที่มา ความเป็นไปได้ อาจจะนำไปสู่องค์ความรู้ใหม่ ทั้งป่าของอำเภอลับแลที่สมบูรณ์ที่สุด ไม่เพียงจะพิสูจน์ได้จากการนำทุเรียน ลางสาด ลองกอง และไม้ผลนานาชนิดขึ้นไปปลูกได้ผลได้ผลิต รสชาติดีแล้ว จนกลายเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของจังหวัดอุตรดิตถ์ โบราณหรืออาจ 1,000 ปีที่ผ่านมาสัตว์ป่าขนาดใหญ่ยังอาศัยอยู่ในป่าแทบนี้ก็เป็นได้



