
มหาเศรษฐี'เมอร์ด็อก'หย่าเมียคนที่3
'รูเพิร์ท เมอร์ด็อก' มหาเศรษฐีเจ้าของอาณาจักรสื่อ 'นิวส์ คอร์ป' ยื่นฟ้องหย่าภรรยาคนที่ 3 ที่มีอายุต่างกันถึง 38 ปีแล้ว
14 มิ.ย. 56 รูเพิร์ท เมอร์ด็อก มหาเศรษฐีเจ้าของอาณาจักรสื่อ "นิวส์ คอร์ป" ยื่นฟ้องต่อศาลสูงนครนิวยอร์กของสหรัฐ ขอหย่าขาดจากนางเวนดี้ เติ้ง ภรรยาคนที่ 3 ที่อ่อนวัยกว่าถึง 38 ปี เมื่อวันพฤหัสบดี โดยให้เหตุผลว่า ความสัมพันธ์ได้ขาดสะบั้นลงโดยไม่อาจแก้ไขได้
การฟ้องหย่าครั้งนี้ ได้มีขึ้นหลังจากเมอร์ด็อก มหาเศรษฐีชาวออสเตรเลีย ที่ใช้สัญชาติอเมริกัน วัย 82 ปี ใช้ชีวิตคู่กับนางเติ้ง ชาวอเมริกันเชื้อสายจีนวัย 44 ปี มานาน 14 ปี และมีลูกด้วยกัน 2 คน // ดูเหมือนว่า การหย่าจะไม่กระทบกระเทือนอาณาจักรนิวส์ คอร์ป ภายใต้การควบคุมของตระกูลเมอร์ด็อก ที่มีทรัพย์สินมหาศาล ตั้งแต่ฟ็อกซ์ นิวส์ ไปจนถึงทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ และวอลสตรีท เจอร์นัล // ตระกูลเมอร์ด็อกยังถือครองหุ้นที่มีสิทธิ์ออกเสียงข้างมากในบริษัทจำนวน 38.4 เปอร์เซ็นต์ ผ่าน " เมอร์ด็อก แฟมิลี่ ทรัสต์ " ที่ลูกๆ 6 คน ของเขา รวมทั้งลูก 2 คน ที่เกิดกับนางเติ้ง คือ เกรซ วัย 11 ขวบ และโคลเอ้ วัย 9 ขวบ มีสิทธิ์ด้วย
แต่มีเพียงลูก 4 คน ที่เกิดจากการแต่งงาน 2 ครั้งแรกของเมอร์ด็อกเท่านั้น ที่มีสิทธิ์แต่งตั้งผู้จัดการมรดกให้กับทรัสต์ ทำให้พวกเขามีสิทธิ์ในการครอบครองหุ้นอย่างเต็มที่ ภายหลังจากที่นายเมอร์ด็อกเสียชีวิตไปแล้ว ส่วนนางเติ้งไม่มีสิทธิ์ได้รับผลประโยชน์ใดๆ จากทรัสต์ขณะที่ลูกๆ 4 คน ของเมอร์ด็อก ได้แก่ เจมส์ , ลัชลัน , เอลิซาเบธและพรูเดนซ์ ต่างก็รั้งตำแหน่งสำคัญในนิวส์ คอร์ป
ตัวเมอร์ด็อก ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ออกเสียงข้างมากในบริษัทอีก 1 เปอร์เซ็นต์ ในอีกทรัสต์หนึ่ง แต่ไม่แน่ชัดว่า หุ้นดังกล่าวจะมีผลเกี่ยวข้องกับการหย่าด้วยหรือไม่ แต่มีรายงานว่า ทั้งคู่ได้มีการทำข้อตกลงก่อนแต่งงานกันตั้งแต่ปี 2542 // แหล่งข่าววงในเปิดเผยว่า เกรซกับ โคลเอ้ ที่เกิดกับนางเติ้ง มีผลประโยชน์ในหุ้นที่ไม่มีสิทธิ์ออกเสียงข้างมาก มูลค่า 269 ล้านดอลลาร์ ที่อยู่ในความดูแลของทรัสต์ที่ชื่้อว่า GCM ที่ดูแลโดยผู้ดูแลอิสระ ที่ตั้งขึ้นเพื่อดูแลผลประโยชน์ให้กับทายาทที่ยังเป็นผู้เยาว์ของเมอร์ด็อก
ความสัมพันธ์ระหว่างเมอร์ด็อกกับเติ้ง ได้ตึงเครียดมาหลายปีแล้ว // อัยการ ระบุว่า ข้อตกลงก่อนแต่งงาน ทำให้นางเติ้งไม่มีสิทธิ์ในหุ้นที่มีสิทธิ์ออกเสียงข้างมากของบริษัท // การฟ้องหย่าครั้งนี้ มีขึ้นในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ก่อนที่นิวส์ คอร์ป เตรียมจะแตกกิจการออกเป็น 2 บริษัท ที่มุ่งเน้นด้านบันเทิงและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทหนึ่งจะเน้นไปที่ธุรกิจข่าว และสื่อสิ่งพิมพ์ และจะยังใช้ชื่อนิวส์ คอร์ป เอาไว้ ส่วนอีกบริษัทหนึ่งทำธุรกิจด้านโทรทัศน์ และภาพยนตร์ โดยจะใช้ชื่อว่า " ทเวนตี้เฟิร์สต์ เซ็นจูรี่ ฟอกซ์ "
เมอร์ด็อก แต่งงานกับนางเติ้ง ซึ่งมีชื่อเดิมว่า เติ้ง เหวินตี้ หลังเพิ่งหย่าขาดจากแอนนา ภรรยาคนที่สอง ที่อยู่กินกันมานาน 32 ปี เพียงไม่นาน ซึ่งในขณะที่พบกัน นางเติ้งเป็นพนักงานของสตาร์ ทีวี ในเครือนิวส์ คอร์ป ในฮ่องกง // ทั้งคู่แต่งงานกันอย่างหรูหราบนเรือยอร์ชส่วนตัว ในนิวยอร์ก โดยมีลูก 4 คน ที่เกิดจากการแต่งงาน 2 ครั้งแรกของเมอร์ด็อกเข้าร่วม // แต่มีรายงานว่า เมอร์ด็อกกับลูกๆ ของเขา ปะทะคารมกันบ่อยๆ ทั้งเรื่องภรรยาใหม่ , มรดกของพวกเขา และการถือครองบริษัทนิวส์ คอร์ป
หลังจากแต่งงานกับเมอร์ด็อก นางเติ้งได้ลาออกจากงานที่ สตาร์ ทีวี แต่ยังมีบทบาทสำคัญในนิวส์ คอร์ป มีบทบาทในการเป็นคนติดต่อประสานงานในจีน โดยเฉพาะด้านการลงทุน ในฐานะผู้อำนวยการเว็บไซต์มายสเปซ ประจำจีนแผ่นดินใหญ่ ตั้งแต่ปี 2551-2554 แต่เมื่อนิวส์ คอร์ป ขายมาย สเปซ ไป เธอก็ไม่เหลือบทบาทอะไรในบริษัท
เธอพยายามหันไปหาวงการภาพยนตร์ และเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง " สโนว์ ฟลาวเวอร์ แอนด์ ซีเครท แฟน " เมื่อปี 2554 ที่เป็นเรื่องราวของมิตรภาพของหญิงสาวสองคน ในเขตชนบทห่างไกล ในมณฑล หูหนานของจีน เมื่อศตวรรษที่ 19 ที่มีฮิวจ์ แจ็คแมน นักแสดงชื่อดัง ร่วมแสดงกับ 2 นักแสดงสาวจากเอเชีย จอน จีฮยอน และหลี่ ปิงปิง นำแสดง / ภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำรายได้จากการฉายในประเทศ 1.3 ล้านดอลล่าร์ และอีก 10 ล้านดอลลาร์ จากการฉายในต่างประเทศ
นางเติ้ง เคยถูกเรียกว่า แม่เสือ มาแล้ว หลังจากเมอร์ด็อก ต้องเข้าให้การต่อคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษ กรณีเรื่องอื้อฉาว สื่อในเครือ นิวส์ ออฟ เดอะ เวิร์ลด์ ถูกกล่าวหาว่า ดักฟังโทรศัพท์ ที่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและผิดจรรยาบรรณสื่อมวลชน เมื่อปี 2554 และปรากฏว่า มีผู้ประท้วงคนหนึ่ง ขว้างพายที่โปะด้วยครีมโกนหนวดใส่เมอร์ด็อก แต่นางเติ้ง ที่เป็นอดีตนักวอลเล่ย์บอล ได้โผเข้าปกป้องสามี และตบผู้ประท้วงไปหนึ่งฉาด ซึ่งหนึ่งในสมาชิกสภาฯ ถึงกับบอกกับเมอร์ด็อก เมื่อเริ่มกลับมาเริ่มต้นการให้การใหม่ว่า ภรรยาของคุณมีฮุคซ้ายที่สุดยอด
--------------------
(หมายเหตุ : ที่มาภาพ : EPA)