
ข้าวแดงแกงร้อน
ข้าวแดงแกงร้อน : วันเว้นวันจันทร์ พุธ ศุกร์กับประภัสสร เสวิกุล
เคยสังเกตไหมครับว่าร้านอาหารไทยรสชาติดั้งเดิม หรือภัตตาคารอาหารจีนดีๆ ลดน้อยถอยลงไปจนแทบจะไม่เหลือให้ได้เห็นกัน ขณะที่ร้านอาหารญี่ปุ่นนานาชนิดกลับเกลื่อนกลาดอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะตามศูนย์การค้าหลายแห่งจะมีร้านอาหารญี่ปุ่นตั้งเรียงรายกัน ราวกับอยู่ในโตเกียวหรือโอซากา
แต่เดิมนั้นอาหารญี่ปุ่นที่คนไทยรู้จักก็มีแค่สุกียากี้ แต่ตอนนั้นก็เป็นสุกี้แบบไทยประดิษฐ์ คือปรุงรสตามปากของคนไทย ซึ่งบางครั้งก็เรียกว่าสุกี้กวางตุ้ง ต่อมาก็เป็นปลาดิบ และกุ้งชุบแป้งทอด รวมถึงอาหารประเภทเส้นต่างๆ ผิดกับปัจจุบันนี้ที่มีร้านอาหารญี่ปุ่นนานาชนิด ที่น่าสนใจก็คือ คนญี่ปุ่นมีความสามารถในการสร้างอาหารที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะร้านของตนขึ้นมาได้แม้จะเป็นอาหารประเภทเดียวกัน สมมุติว่าให้คนไทยขายแกงเขียวหวานสัก 10 เราก็จะพบว่าแกงเขียวหวานก็จะมีหน้าตา สีสัน และรสชาติที่ใกล้เคียงกัน หรือให้คนจีนทำบะหมี่สัก 10 ร้าน ก็คงได้บะหมี่ที่ไม่มีอะไรแตกต่างกันเท่าไหร่ แต่ถ้ารับประทานอูดง หรือโซบะของญี่ปุ่นตามร้านต่าง ๆ จะสัมผัสได้ถึงความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร ตั้งแต่เส้น เครื่องประกอบ น้ำซุป การแต่งจานอาหาร ภาชนะ จนถึงการตบแต่งร้าน อันเป็นลักษณะเฉพาะของร้านไหนก็ร้านนั้น
ในสมัยก่อนนั้น ภัตตาคารอาหารจีนถือว่าเป็นสุดยอดเรื่องอาหาร ทั้งในเรื่องของรสชาติ คุณภาพ และความหรูหรา ถ้าเอ่ยชื่อ ห้อยเทียนเหลา ก๊กจีเหลา นิวสมอย่าง ฯลฯ ก็เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป แต่ปัจจุบันเหลาโบราณเหล่านั้นพากันเลิกรา หรือร่วงโรยไปตามกาลเวลา รวมทั้งคนรุ่นใหม่ก็มักจะนิยมรับประทานอาหารตามศูนย์การค้า หรือย่านธุรกิจ มากกว่าจะเดินทางฝ่าการจราจรไปยังแหล่งที่ร้านอาหารเก่า ๆ ตั้งอยู่
สำหรับร้านอาหารไทยระดับที่ดี ๆ นั้น นอกจากจะไม่ค่อยมีที่จะเปิดแบบลำพังหรือ สแตนด์ อะโลน แล้ว แม้แต่ในศูนย์การค้าเองก็แทบจะไม่มีเหมือนกัน จนมีเพื่อนพูดเล่น ๆ ว่า ถ้าจะกินอาหารไทยต้องไปกินที่ต่างประเทศ แต่ถ้าอยู่เมืองไทยต้องกินอาหารญี่ปุ่น หรือฟาสต์ฟู้ดของอเมริกัน
อาหารไทยในยุคก่อนนั้น ที่อร่อยมาก ๆ ก็คือข้าวแกงแบบหาบเร่ข้างถนน ที่มีกับข้าวหลัก ๆ อย่าง แกงเนื้อ แกงไก่แกงปลาไหล แกงปลาดุก ราดข้าวสวยร้อน ๆ ราคาก็น่าจะสัก ๓ บาท ถ้าจานเดียวไม่อิ่ม จะขอเติมอีกครึ่งจาน แม่ค้าก็ไม่ว่ากัน ซึ่งผิดจากข้าวแกงตามศูนย์การค้าในเวลานี้ ที่นอกจากคุณภาพ และรสชาติจะสู้กันไม่ได้แล้ว ราคาก็ยังแพงกว่าเป็น ๑๐-๑๕ เท่า
อย่างไรก็ตาม ราคาอาหารไทยประเภทข้าวราดแกงตามศูนย์การค้าที่ว่านี้ ยังเทียบไม่ได้หรอกครับกับราคาอาหารในภัตตาคารญี่ปุ่น ที่บางครั้งเวลาที่จ่ายเงินก็อดสะดุ้งไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ก็เป็นแค่อาหารธรรมดา ๆ ไม่ได้มีอะไรที่วิเศษพิสดาร ซึ่งราคาที่ปรากฏตามเมนูบางอย่างก็พอรับได้ แต่เมื่อยอดชำระจริงมาถึงก็เล่นเอาอดสะดุ้งไม่ได้อย่างที่ว่า เมื่อหายจากอาการสะดุ้งก็อดที่จะถามตัวเองไม่ได้ว่า ทำไมเราถึงจะต้องจ่ายค่าอาหารบวกส่วนต่างเพิ่มมื้อเดียวที่แพงขนาดนั้น และเราถูกทางร้านเอาเปรียบมากไปหรือเปล่า โดยการสร้างกับดักเรื่องความเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นขึ้นมาล่อ และทุก ๆ บาท ทุก ๆ สตางค์ ที่กินอาหารในร้านญี่ปุ่น เงินจำนวนนั้นจะถูกส่งกลับไปยังประเทศญี่ปุ่นสักกี่เปอร์เซ็นต์ ทั้งในรูปของค่าลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้า ค่าวัตถุดิบ ค่าอุปกรณ์ และเครื่องใช้ไม้สอย รวมถึง “ค่านิยม” ที่จะส่งผลต่อไปยังการซื้อและใช้สินค้าญี่ปุ่น อย่างเหนียวแน่น
พร้อมกันนั้น ก็ประหลาดใจอยู่ครามครันว่า ทำไมเราจึงทำเหมือนเห็นดีเห็นงามให้คนไทยกินอาหารญี่ปุ่น ทั้ง ๆ ที่ ควรจะหันมาส่งเสริมการทำอาหารไทย ขายอาหารไทย และกินอาหารไทย มากกว่า ซึ่งเท่ากับช่วยกันรักษาเงินทองไม่ให้รั่วไหลออกนอกประเทศแล้ว ยังเป็นการสร้างความรู้สึกนิยมไทยแก่คนไทยอีกทางหนึ่งด้วย
คุณผู้อ่านรู้สึกประหลาดใจเหมือนผมไหมครับ?



