
'สวมหน้ากาก(เข้าหากัน)'ร้าย-ดีอยู่ที่ใจ
ฮอตอิชชู่ : 'สวมหน้ากาก(เข้าหากัน)' ร้าย-ดีอยู่ที่ใจ
"หน้ากาก" มีความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน คือ เครื่องบังใบหน้าทั้งหมดหรือบางส่วน สวมใส่เพื่อป้องกันสิ่งต่างๆ ใส่เพื่อปกปิดใบหน้า ใส่เพื่อเป็นการแสดง หรือเพื่อความบันเทิง หน้ากากมีมาตั้งแต่สมัยโบราณทั้งเพื่อประกอบพิธีกรรมและไว้ใช้งาน หน้ากากจะสวมไว้ที่หน้า ครั้นพอมาเป็นการ "สวมหน้ากากเข้าหากัน" ก็มีคำอธิบายคร่าวๆ ว่าเป็นคนประเภทไม่จริงใจ ไม่แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมายามอยู่ต่อหน้าคนอื่น และมักจะเอาเปรียบผู้อื่นอยู่เสมอเมื่อมีโอกาสหรืออยู่ลับหลัง
จึงเกิดเป็นคำถามขึ้นว่า เป็นไปได้หรือไม่???... หากผู้คนจะเลิกสวมหน้ากากเข้าหากัน เริ่มจากสาวรุ่นใหม่คนดังในแวดวงสังคม "น้อยหน่า" สิริผกา กรรณสูต บอกว่า เรื่องการใส่หน้ากากแล้วแต่มุมมอง ถามว่าใส่หรือไม่ตอบได้เลยว่าใส่และใส่ทุกคนด้วย ซึ่งทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เป็นสำคัญ
"มุมมองของน้อยหน่าการใส่หน้ากากก็เหมือนการโกหกสีขาวของฝรั่ง เพราะจะหยิบมาใช้ต่อเมื่อเป็นการรักษาน้ำใจกันมากกว่า ไม่ได้ใช้เพื่อทำร้ายหรือทำลายคนอื่นแต่อย่างใด ซึ่งก็แล้วมุมมองของแต่ละคน บางคนว่าการใส่หน้ากากแล้วเป็นคนไม่จริงใจ แต่ถ้าเราพูดแบบจริงใจหรือแสดงพฤติกรรมแบบจริงใจต่อคุณที่มาในภาพที่ไม่เหมาะสม ให้อย่างไรก็รับไม่ได้ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวหนือคนใกล้ตัว แม้กระทั่งเพื่อนสนิทบางคนก็รับไม่ได้ถ้าเราพูดเรื่องจริงกับเขาตามความคิดของเรา ดังนั้นการเลือกใส่หน้ากากเข้าหากันเป็นเรื่องของสถานการณ์มากกว่า และส่วนตัวก็ไม่เชื่อด้วยกับคนที่บอกว่าตัวเองไม่เคยใส่หน้ากากเข้าหาใคร เป็นไปไม่ได้มากๆ" เซเลบริตี้รุ่นใหม่ แจงความคิดตัวเอง
มาที่มุมมองของสาวปริญญาโทจากเมืองผู้ดี "ลิตา" ชาลิตา แย้มวัณณังค์ เจ้าของตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2013 เห็นว่า บางครั้งการที่คนเราจริงใจมากเกินไป พูดหรือแสดงออกในสิ่งที่คิดทุกอย่างก็ไม่เป็นผลดีทั้งต่อตัวเองและคนอื่นได้ แล้วเชื่อว่าสังคมวุ่นวายแน่หากอยู่ในสภาวะแบบนั้น
"ในบางสถานการณ์จำเป็นที่ต้องใส่หน้ากากบ้าง ตามบรรทัดฐานของสังคมแต่ละยุคสมัย แต่ก็ต้องไตร่ตรองให้อยู่ในความพอดีด้วย พอดีคือไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อน อย่างใกล้ตัวสุดลิตาเป็นนางงาม แน่นอนว่าคนทั่วไปย่อมคาดหวังว่าเราต้องสวยตลอดเวลา บุคลิกดี มารยาทดี แต่อยากบอกว่าโดยธรรมชาติของลิตาไม่ใช่คนเนี้ยบ บางเวลาอาจไม่ต้องทำให้ตัวเองสวยก็ได้ กินข้าวมูมมามบ้าง แต่พอเรามีตำแหน่ง มีมงกุฎ ออกมาข้างนอกก็ต้องวางตัวให้เป็นอย่างที่คาดหวัง และอยู่บนพื้นฐานของความจริงใจ แบบนี้เรียกใส่หน้ากากหรือเปล่า" สาวอารมณ์ดี เผย
อีกหนึ่งทัศนคติจากสาวงามดีกรีนางสาวไทย ประจำปี 2555 พ่วงด้วยตำแหน่งผู้หญิงคิดบวก "โบว์ลิ่ง" ปริศนา กัมพูสิริ ออกปากว่าทุกอย่างมีทั้งดีและลบ สำหรับคำว่า "การสวมหน้ากาก" แม้ว่าฟังแล้วดูเป็นแง่ลบและค่อนข้างรุนแรง แต่ถ้าคนเราจะไม่มีการสวมหน้ากากเข้าหากันเลย เชื่อว่าสังคมต้องวุ่นวาย เนื่องจากทุกคนพูดจริงใจกันหมด อาจทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นได้ จุดนี้อยากให้เปลี่ยนจากที่เรียกว่า การสวมหน้ากาก เป็น "การวางตัวที่เหมาะสม" น่าจะเหมาะกว่าขอเพียงแต่ว่าอย่าน้อยไป อย่ามากไป
"โดยส่วนตัวมองว่า เรื่องทุกเรื่องมีทั้งดีและลบไม่มีอะไรเป็นบวกและเป็นลบสุดขีด ถ้าทุกคนไม่สวมหน้ากากเลยทุกคนพูดจริงใจกันหมด สมมุติว่าวันหนึ่งเมื่อรู้สึกเกลียด รู้สึกไม่ชอบ แล้วพูดออกมาตรงๆ อาจนำไปสู่ความขัดแย้งขึ้นได้ ซึ่งจริงๆ แล้วหากไม่ชอบหน้าแค่นิ่งๆ ไม่ต้องเปิดเผยก็พอ ถ้าตรงนั้นมองว่าเป็นการวางตัวก็จะเป็นเรื่องที่ดีสังคมก็จะสงบ ในทางกลับกันหากมองว่าเป็นการสวมหน้ากากก็อาจจะฟังดูแย่ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องของทัศนคติของแต่ละคนมากกว่า เพียงแต่ว่าอย่าน้อยไปอย่ามากไป คือถ้าเราจริงใจหมดชอบใครก็พูดเกลียดใครก็บอกตรง มันสุดโต่งเกินไป ครั้นหากต้องสวมหน้ากากตลอดเวลาก็เยอะเกินไปอีก ฉะนั้นถ้ามองในเรื่องของการวางตัวให้เหมาะสมมันก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้ามองว่าเป็นการสวมหน้ากากมันอาจฟังดูแปลก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการมองมากกว่า" สาวงามเจ้าของตำแหน่งคิดบวก ให้ความเห็น
การใส่หน้ากากยังเป็นเรื่องจำเป็น แต่ทำได้ในบางสถานการณ์เพื่อให้เกิดกาละเทศที่ดีเท่านั้น อีกหนึ่งในมุมมองของคุณแม่ยังสวย “โมนา” วิภาวี คอมันตร์ ที่ย้ำว่าการใส่หน้ากากเข้าหากันทำได้ ถ้าจะให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น แต่ไม่ใช่ใส่เพราะมีเจตนาทำร้ายใคร
“หน้ากากในความรู้สึกของโมนาคือความไม่เป็นตัวของตัวเองนะ ดังนั้นเราจะใช้หน้ากากก็ต่อเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ทำให้ให้เราต้องพยายามไม่แสดงความเป็นตัวเองออกมามากเกินไป อย่างเช่น การไปงานที่ต้องพบเจอผู้ใหญ่ ผู้อาวุโสเยอะๆ จากนิสัยตัวเองที่เป็นคนซน ดื้อรั้น โผงผาง พูดจาตรงไปตรงมา ซึ่งรู้ตัวว่าเป็นกิริยาที่ไม่ควรแสดงออกมาต่อหน้าผู้ใหญ่เลย จำเป็นต้องใส่หน้ากากข่มตัวเองให้อ่อนน้อมขึ้น เป็นการใส่หน้ากากที่มีเจตนาดีทำเพื่อให้ถูกกาลเทศะ ให้เกิดความสบายใจ แต่ถ้าอยู่กับเพื่อนๆ หรือคนที่สนิทกันดี ก็ไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากเข้าหากันเลย เป็นตัวของตัวเองให้เต็มที่ไปเลยดีกว่า“ สาวโมนา กล่าว
ปิดท้ายที่ พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า คำว่าหน้ากากถ้าเราแปลความหมายต่างกันไปผลลัพธ์ก็ต่างกัน ถ้าหน้ากากหมายถึงความไม่จริงใจ ซึ่งไม่ยอมไว้วางใจกันละกัน ทั้งไม่วางใจผู้อื่น และไม่สร้างความไว้วางในตัวเราด้วย ไล่เรียงไปถึงการไม่ยอมในกันและกัน ใช้การปกปิดอำพราง แน่นอนนั้นไม่ช่วยคลี่คลายกับเป็นการสร้างปัญหาให้เพิ่มพูน ซึ่งในทางจิตวิทยาเราต้องมีความจริงใจ ต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจ จริงใจที่จะรักและปกป้องซึ่งกันและกัน ตรงนี้จะเป็นสายใยทำให้เกิดความจริงใจไปในวงกว้างไปเรื่อยๆ อีกความหมายถ้าเราบิดเบือนคำว่าหน้ากากไปถึงความใส่ใจถึงกันและกัน ยกตัวอย่างถ้าหมอพูดอย่างนี้กับคุณแล้วเสียใจ หมอก็จะเลี่ยงคำพูดนั้นๆ โดยคำนึงถึงมารยาทในสังคม ยกตัวอย่างคุณเพียงเสียงดังมากจึงน่ารำคาญที่สุด หมอก็จะบอกว่าเสียงดังกลับหรือต่อว่าคุณแบบนั้นก็จะทำให้คุณเสียใจ ดังนั้นหมอจึงเปลี่ยนคำพูดให้เบาลงเพื่อใส่ใจในความรู้สึกของคุณ นั่นก็เป็นการใส่หน้ากาก ทั้งนี้ทั้งนั้นคำว่าใส่หน้ากากขึ้นอยู่กับเจตนา ขึ้นอยู่กับความจริงใจเป็นที่ตั้ง
"ด้วยความคิดของมนุษย์และพฤติกรรมของมนุษย์มีความซับซ้อน ยากต่อความตัดสินด้วยช็อตเดียว ต้องเห็นความต่อเนื่องด้วยพฤติกรรม เขามีจุดมุ่งหมายที่ดีหรือไม่ บางทีเราเห็นเจตนาเหมือนดีแท้ที่จริง เป็นนัยแห่งการทำร้ายล้างมากมายทีเดียว ต้องมีการเปิดใจที่จะรับฟังและติดตามกันและกันด้วย หมอก็เคารพในความคิดความเห็นของทุกๆ ฝ่าย สิ่งที่หมออยากให้เห็นในความเห็นต่างทางความคิดจนเกิดการแตกแยก สะท้อนความแตกแยกด้วยความเกลียดชัง เราเปิดใจรับฟังกันและกัน ช่วยกันแก้ไขในสิ่งที่ดีขึ้น ถ้าเราใช้วิธีการใดๆ ก็แล้วแต่เป็นทางสัญลักษณ์ เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ก็เอาใจช่วยเชื่อว่าทุกคนมีเจตนาดี ก็ควรเปิดใจรับฟัง" นักพัฒนาสุขภาพจิตให้แนวคิดปิดท้าย



