
บึ้ม'หน้ารามฯ'มาเฟียหรือปั่นราคาการเมือง?
แกะรอยระเบิด'หน้ารามฯ' มาเฟียแผงค้าหรือปั่นราคาการเมือง? : โต๊ะรายงานพิเศษ
ฝันร้ายหลังเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดในถังขยะบริเวณปากซอยรามคำแหง 43/1 เมื่อค่ำวันที่ 26 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เคราะห์ร้ายได้รับบาดเจ็บไปถึง 7 คน และแผงขายของได้รับความเสียหายกว่า 10 แผงนั้น
แม่ค้าขายสมุนไพรใกล้กับจุดเกิดเหตุระเบิดมากว่า 3 ปี อย่าง นางสำเร็จ เสามั่น อายุ 52 ปี เล่านาทีชีวิตว่า ก่อนเกิดเหตุกำลังทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว จึงรีบออกมาดู เห็นรถเข็นของตนเองถูกแรงระเบิดพังเสียหาย
"รู้สึกแปลกใจว่า เกิดเหตุขึ้นได้ยังไง และไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร ที่ผ่านมากลุ่มแม่ค้าละแวกนี้ก็ไม่มีเรื่องขัดผลประโยชน์กับใคร ส่วนกลุ่มมาเฟียที่มาข่มขู่ หรือคุกคามไล่ที่ก็ยืนยันว่าไม่มี"
นางสำเร็จ เล่าอีกว่า ล็อกที่ขายของอยู่นั้น เช่าช่วงต่อมาจาก "นางจง" ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งขายของอยู่ติดกันในราคาเดือนละ 500 บาท เพราะนางจงเป็นแม่ค้าที่ขายของอยู่บริเวณนี้มานานหลายปี จนได้ใบจับจองล็อกขายของ และแบ่งพื้นที่บางส่วนให้ตนขายด้วย ส่วนใบจองของนางจงได้มาจากใคร หรือต้องไปจ่ายเงินให้ใครนั้น ไม่ทราบ
สอดคล้องกับแม่ค้าอีกรายหนึ่งที่ตั้งร้านในย่านเดียวกัน บอกว่า การเช่าแผงขายของหน้ารามฯ ส่วนใหญ่เป็นการเช่าช่วงต่อจากกลุ่มแม่ค้าที่มีใบจับจอง ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าต้องนำเงินไปจ่ายให้ใครบ้าง แต่ที่ต้องจ่ายแน่ๆ คือ เจ้าหน้าที่เทศกิจในท้องที่ โดยจ่ายเป็นรายเดือน
น.ส.จัสมิน บากา อายุ 32 ปี แม่ค้าขายน้ำผลไม้ปั่น บริเวณด้านหน้าร้านตัดผม "ออกัส" เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุยืนขายน้ำปั่นผลไม้ตามปกติ โดยมีลูกค้ายืนซื้ออยู่ที่ด้านหน้าร้าน ระหว่างปั่นน้ำอยู่ ปรากฏว่าเกิดระเบิดขึ้นห่างจากจุดที่ตนยืนอยู่ไม่มากนัก
"ตอนเกิดระเบิดมีลูกค้ายืนรอสั่งน้ำอยู่หน้าร้าน 2 คน ทุกคนต่างพากันวิ่งหนีตาย ฉันเองก็หมอบคลานหนีตายออกมาให้ไกลที่สุด สำหรับฉันเหตุการณ์ครั้งนี้ถือว่าเป็นเหตุที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิต ส่วนตัวแล้วคิดว่าเป็นการสร้างสถานการณ์เหมือนเหตุการณ์ป่วนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนที่มองกันว่าเกี่ยวพันเรื่องปมขัดแย้งเรื่องแผงค้านั้น ไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร เพราะพ่อค้าแม่ค้าที่นี่ขายของกันมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว ยืนขายตรงนี้มาประมาณ 3-4 ปีแล้ว ก็ไม่เคยมีปัญหากับใคร" น.ส.จัสมินกล่าว
แม่ค้าคนเดิมบอกอีกว่า ส่วนเรื่องปัญหาค่าเช่าที่ที่อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งกันนั้น คิดว่าไม่น่าจะเกี่ยว เพราะราคาที่ตรงจุดนี้จ่ายเดือนละ 8,000 กว่าบาท ถือว่าเป็นราคาที่ถูกมาก ถ้าเทียบกับที่อื่น ซึ่งราคาสูงถึง 15,000 บาทต่อเดือน
"ในใจตอนนี้คิดว่าน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์มากกว่า ประเภทระเบิดกลางกรุง ครั้งนี้ฉันอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ถือว่าหนักที่สุด พอมาถึงตอนนี้ก็คิดเหมือนกันว่า ไม่รู้ว่ารอดมาได้อย่างไร ถ้าไม่มีตู้ชุมสายโทรศัพท์ฉันก็อาจจะโดนแรงกระแทกแบบเต็มๆ เพราะคนที่ขายของอยู่ตรงข้ามอีกคนหนึ่งก็โดนแรงอัดอาการหนักตอนนี้ยังรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลเลย ส่วนฉันพอเกิดเหตุแบบนี้ความเสียหายเยอะ เพราะเราไม่ได้ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นทำให้เราขายของไม่ได้เลย" น.ส.จัสมินเล่า
ด้าน นางวรรณา หล้าเพชร อายุ 50 ปี เจ้าของร้านทอง ซึ่งอยู่ใกล้กับธนาคารกรุงเทพ ใกล้จุดเกิดเหตุระเบิด กล่าวว่า เคราะห์ดีปิดร้านเร็วกว่าปกติ เพราะวันจันทร์จะต้องไปส่งลูกที่โรงเรียนแต่เช้า
"ปกติจะใช้ให้เด็กที่ร้านไปทิ้งขยะตรงบริเวณดังกล่าวทุกวัน ตอนเกิดเหตุเท่าที่คุยกับแม่ค้าพ่อค้าแถวนั้น บอกว่าเสียงระเบิดดังมากจนถึงซอย 53 พอเกิดเหตุไปแล้วได้เปิดกล้องวงจรปิดดู เห็นภาพคนที่ต่างพากันคลานออกมาจากจุดเกิดเหตุ เห็นภาพเศษระเบิดปลิวกระจาย เศษตะปูที่อยู่ในระเบิดกระเด็นออกมาเต็มไปหมด ส่วนที่มองกันว่าปมขัดแย้งเรื่องแผงค้านั้น ไม่น่าจะเกี่ยวข้อง เพราะเท่าที่สอบถามก็ไม่พบปัญหาอะไร ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้" นางวรรณากล่าว
หลังประมวลสถานการณ์ในเบื้องต้น ตำรวจพุ่งเป้าไปที่ความขัดแย้งเรื่องธุรกิจ เพราะพื้นที่หน้ารามฯ เป็นดั่งทำเลทองของธุรกิจ ทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ทุกขุมข่ายมีมาเฟียคอยคุม มีนักเลงเป็นมือไม้ทำงาน
ทว่าหัวเรือใหญ่จริงๆ ล้วนเป็น "คนมีสี" ไล่ตั้งแต่วินรถตู้หน้ารามฯ ก็มี "สีเขียว" ดูแลอยู่ บ่อนการพนันขนาดกลาง 2-3 แห่ง ก็มีคนมีสีอยู่เบื้องหลัง เช่นเดียวกับวินมอเตอร์ไซค์ ติวเตอร์ พื้นที่จอดรถ เรื่อยไปจนถึงคิวรถตู้ย่านตลาดบางกะปิ ก็มี "สีกากี" คอยดูแลพื้นที่ดังกล่าว
สำหรับธุรกิจที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำสำหรับแก๊งมาเฟียมากที่สุด หนีไม่พ้น "แผงค้า" เพราะบริเวณริมฟุตบาทหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง เริ่มตั้งแต่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์รามฯ ยาวจนถึงซอยรามคำแหง 65 หรือ "ซอยมหาดไทย" มีแผงค้านับพันแผงให้พ่อค้าแม่ค้าเข้าไปจับจองขายสินค้าและอาหารนานาชนิด
บริเวณนี้ถือเป็นขุมทรัพย์ของกลุ่มมาเฟียเรียกเก็บค่าเช่าแผง โดยเฉพาะจุดที่มีผู้คนพลุกพล่าน อย่างปากซอยรามคำแหง 29 ด้านข้างบิ๊กซี สาขารามคำแหง ด้านหน้าปากซอยวัดเทพลีลา และบริเวณซอยรามคำแหง 43/1 ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุระเบิด จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ค้าต้องเสียค่าเช่าแผงขายรายเดือน เดือนละประมาณ 10,000-30,000 บาท ส่วนจุดที่มีคนเดินผ่านน้อยจะเสียค่าเช่าประมาณ 1,200-10,000 บาท
เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนรายหนึ่ง ระบุว่า คดีนี้เจ้าหน้าที่ให้น้ำหนักเรื่องผลประโยชน์แผงค้ามากที่สุด เพราะพื้นที่ริมฟุตบาทหน้ารามฯ มีมาเฟียหลายกลุ่มคอยดูแลและเรียกเก็บค่าคุ้มครอง เมื่อเกิดเหตุขึ้นกลุ่มมาเฟียต่างไม่กล้าแสดงตัว และกลุ่มแม่ค้าเองก็ไม่กล้าปริปากพูดว่ามีใครบ้างที่เรียกเก็บเงิน
ขณะเดียวกัน หลายฝ่ายยังตั้งข้อสังเกตถึงความเป็นไปได้ที่สร้างสถานการณ์ดังกล่าวจะเชื่อมโยงกับปัญหาความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยประเมินจาก 2 ปัจจัย คือ ข้อแรก ระเบิดที่ใช้เป็นชนิดแสวงเครื่อง บรรจุไว้ในท่อพีวีซี มีการใช้ตะปูเรือใบเป็นสะเก็ดระเบิดเหมือนที่วางกันรายวันที่ชายแดนใต้ สำหรับข้อต่อมา พื้นที่หน้ารามฯ มีชุมชนขนาดใหญ่ของวัยรุ่นจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งในซอยรามคำแหง 53, 55, 57, 59 และ 61 ถึงขั้นมีการแบ่งโซน ตั้งคนคุมคล้าย "ผู้ใหญ่บ้าน"
ถึงกระนั้นข้อสังเกตข้างต้นลดทอนความสำคัญลง เมื่อตำรวจและเจ้าหน้าที่ระดับสูงฝ่ายความมั่นคงต่างพร้อมใจออกมายืนกรานว่า ระเบิดหน้ารามฯ ไม่เกี่ยวกับไฟใต้ เพราะระเบิดแสวงเครื่องนั้น ใครที่มีความรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ประกอบได้ อีกทั้งกลุ่มนักศึกษารามฯ จากชายแดนใต้ส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกับขบวนการก่อความไม่สงบ
นั่นเป็นเหตุผลในทางเปิด แต่เหตุผลลึกๆ ก็คือ ชุมชนคนสามจังหวัดย่านหน้ารามฯ เป็นดั่งแดนสนธยากลางกรุงที่ยากเข้าไปจัดระเบียบ ข้อมูลการข่าวก็เคยมีรายงานว่า แนวร่วมก่อความไม่สงบที่ก่อคดีในภาคใต้บางรายเคยหลบเข้าไปกบดาน ฉะนั้นจึงเชื่อว่าน่าจะไม่บ้าวางระเบิดทำลายแดนสวรรค์ของตนเอง
ส่วนการตรวจสอบข้อมูลจากกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ที่เคยเข้าไปจับผู้มีอิทธิพลในย่านรามคำแหง กลับได้ข้อมูลที่แตกต่างออกไป
"มาเฟียแถวนั้นไม่ค่อยนิยมใช้ระเบิด หากใช้ทฤษฎีตำรวจสมัยใหม่เข้าไปจับ ในแง่พฤติการณ์ศาสตร์น่าเชื่อว่ามาเฟียทางธุรกิจไม่ค่อยใช้ระเบิดในการจัดการปัญหา หรือหากใช้ก็น่าจะใช้ระเบิดแบบมาตรฐาน (ระเบิดที่ใช้ในกองทัพ เช่น ระเบิดลูกเกลี้ยง) เพราะผู้มีอิทธิพลเบื้องหลังส่วนใหญ่เป็นคนมีสี ไม่น่าจะเสียเวลาประกอบระเบิดแสวงเครื่อง" แหล่งข่าวจาก บก.ป.ระบุ
ประเด็นที่แหล่งข่าวจากกองปราบปรามและสันติบาลมองตรงกัน และยังไม่ตัดทิ้ง คือ "ความขัดแย้งทางการเมือง"
แหล่งข่าวระบุว่า ถ้าเป็นเรื่องแย่งพื้นที่ค้าขาย ทำไมต้องใช้ระเบิด หรือถ้าจะใช้ระเบิด ทำไมต้องเป็นระเบิดแสวงเครื่อง จุดนี้คล้ายเป็นความจงใจให้สังคมมองโยงถึงปัญหาภาคใต้ เพราะพื้นที่หน้ารามฯ ใครๆ ก็รู้ว่าคนจากสามจังหวัดไปอยู่เยอะ และมีเหตุปัจจัยความขัดแย้งมากมาย การวางระเบิดตรงนี้จึงสรุปยากว่ามาจากเรื่องใด และมีโอกาสสูงที่คนจะจับจ้องไปในเรื่องภาคใต้ ซึ่งเป็นงานที่รัฐบาลค่อนข้างล้มเหลวในการแก้ไขปัญหา
ที่สำคัญมีความเป็นไปได้ที่คนก่อเหตุจงใจให้สังคมตีความไปเช่นนั้น เพื่อดิสเครดิตรัฐบาล ทั้งเรื่องปล่อยให้เกิดระเบิดกลางกรุง และสถานการณ์ไฟใต้ลามเข้ามาในเมืองหลวง ซึ่งก็สอดรับกับความล้มเหลวเรื่องการเจรจาสันติภาพที่รัฐบาลไปพูดคุยเจรจากับกลุ่มบีอาร์เอ็นพอดี ต้องไม่ลืมว่า รัฐบาลกำลังผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมและกฎหมายปรองดอง ซึ่งคนที่ไม่เห็นด้วยไม่ได้จำกัดเฉพาะฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลเท่านั้น โดยเฉพาะในเรื่องการนิรโทษเหมาเข่ง
"ช่วงนี้จึงมีความพยายามเร่งสถานการณ์ให้สุกงอมก่อนเปิดสภาเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ อย่างเมื่อ 1-2 สัปดาห์ก่อน ก็มีการปล่อยข่าวเรื่องโยกย้ายนายทหารระดับสูง" แหล่งข่าวตั้งข้อสังเกต
ไม่ว่าผู้อยู่เบื้องหลัง "ระเบิดหน้ารามฯ" มีเป้าประสงค์ที่แท้จริงอันใด ไม่ว่าจะเป็นขัดแย้งผลประโยชน์ โยงสถานการณ์ใต้ หรือหวังผลทางการเมือง สมควรอย่างยิ่งที่ต้องถูกประณามและลงทัณฑ์ให้ถึงที่สุด โทษฐานใช้ชีวิตของผู้บริสุทธิ์เป็นเดิมพัน
..........................
(หมายเหตุ : แกะรอยระเบิด'หน้ารามฯ' มาเฟียแผงค้าหรือปั่นราคาการเมือง? : โต๊ะรายงานพิเศษ)