ข่าว

'สุไลมาน ยาโม'ทอฝันร่วมดับไฟใต้ด้วยพู่กัน

'สุไลมาน ยาโม'ทอฝันร่วมดับไฟใต้ด้วยพู่กัน

18 พ.ค. 2556

'สุไลมาน ยาโม'ทอฝันร่วมดับไฟใต้ด้วยพู่กัน : สุพิชฌาย์ รัตนะรายงาน


              "สุไลมาน ยาโม" คงเหมือนกับเด็กหนุ่มใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้คนอื่นๆ ซึ่งแม้หลายปีที่ผ่านมา แผ่นดินบ้านเกิดต้องตกอยู่ท่ามกลางสมรภูมิแห่งความรุนแรง หากแต่พวกเขา ล้วนมีความฝันเป็นของตัวเองด้วยกันทุกคน จะต่างกันก็ตรงที่ว่า เส้นใยที่จะนำมาถักทอขึ้นรูปปีกฝันนั้นอาจมีที่มาแตกต่างกันไป

              กระสุนปืนที่กระชากวิญญาณพ่อของสุไลมานไปอย่างกะทันหันเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ 25 มกราคม เมื่อ 5 ปีก่อน แม้จะฝากร่องรอยฝันร้ายเอาไว้บนบาดแผลที่ไหล่ของแม่ที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ และแผลเป็นบาดลึกอยู่ในใจของเขาทุกเมื่อเชื่อวัน แต่กระสุนนัดนั้นก็ช่วยเร่งเร้า ให้เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง เพื่อช่วยกล่อมเกลาเยียวยาผ่านงานศิลปะ ด้วยความมุ่งมาดปรารถนาเปี่ยมล้นที่จะเห็นสันติสุขเกิดขึ้นบนพื้นที่ปลายด้ามขวาน

              หลายขวบปีที่ปลายด้ามขวาน มีหลายชีวิตที่ต้องตกอยู่ในสภาพ “เสียศูนย์” อันเป็นผลมาจากความ “สูญเสีย” เมื่อคนรักในครอบครัวต้องมาจบชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาตลอด 9 ปีเต็ม

              การเยียวยาด้วยเม็ดเงินจากภาครัฐคือการบรรเทาเบาบางความยากลำบากให้คนที่อยู่เบื้องหลังในวันที่ไร้เสาหลักของครอบครัวเท่านั้น แต่สำหรับคราบน้ำตาที่ตกในกับบาดแผลแห่งความรู้สึกคงต้องอาศัยวันเวลาให้ช่วยรักษาและคืนความเข้มแข็งให้ชีวิตสามารถกลับมาตั้งหลักก้าวเดินเฉกเช่นคนอื่นอีกครั้งเท่านั้น...แต่จะมีสักกี่รายที่ก้าวข้ามวิกฤติอันเลวร้ายแห่งชีวิตเช่นนี้ไปได้

              “สุไลมาน ยาโม” เด็กหนุ่มมุสลิมวัย 26 ปีแห่งบ้านคอกช้าง ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี คือหนึ่งในเหยื่อแห่งความรุนแรงที่ต้องสูญเสียบิดาอันเป็นที่รัก มิหนำซ้ำแม่ผู้ให้กำเนิดยังต้องได้รับบาดเจ็บทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนเรือนกายมาจวบจนทุกวันนี้

              “สุไลมาน” มีชีวิตเฉกเช่นเด็กมุสลิมคนอื่นๆ ในชุมชนบ้านคอกช้าง พื้นฐานครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยอะไร ยึดอาชีพรับจ้างและทำสวนทั่วไป จนกระทั่งก้าวเดินออกจากรั้วสถานศึกษามารับจ้างเป็นคนรับส่งน้ำดื่ม ตามบ้านเรือนทั่วไป โดยรายได้ทุกบาทใช้ส่งเสียน้องสาวและน้องชายร่ำเรียนในโรงเรียนใกล้บ้าน

              แต่สิ่งหนึ่งที่ "สุไลมาน” มีความแตกต่างจากเพื่อนร่วมชุมชนคนอื่น นั่นคือหลงใหลในศิลปะเป็นพิเศษ ด้วยมีความฝันว่าสักวันจะต้องเป็น “นักวาดภาพ” ให้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงมักจะหาโอกาสไปขอความรู้จากศิลปินอิสระในท้องถิ่น รวมทั้งเจียดเงินส่วนหนึ่งซื้อผ้าใบและสีน้ำมันมาละเลงภาพด้วยความรู้เท่าที่มี

              เด็กหนุ่มบ้านคอกช้างคนนี้ใช้เวลายามค่ำคืนฝึกฝนฝีมือตามความรู้ที่หาได้จากหนังสือและเครื่องมือในโลกอินเทอร์เน็ต จนนำมาซึ่งความสามารถด้านศิลปะมากขึ้นเป็นลำดับ จากเดิมที่เคยไม่เป็นโล้เป็นพาย

              จนกระทั่งวันหนึ่งมีโอกาสเห็นข่าวสารในพระราชสำนัก และคำบอกเล่าจากเพื่อนเกี่ยวกับศูนย์ศิลปาชีพบางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา จึงตัดสินใจสมัครเข้ารับทุนเพื่อร่ำเรียนวิชาศิลปะที่ใจรักอย่างจริงจัง

              ก่อนเดินทางไปตามความฝัน “สุไลมาน” ได้ละเลงฝีมือลงบนผืนผ้าใบเป็นรูปดอกกล้วยไม้ พร้อมกับนำไปเข้ากรอบแขวนไว้ที่บ้าน นับเป็นผลงานชิ้นแรกที่มอบให้ผู้เป็นพ่อ ซึ่งคอยสนับสนุนเรื่องวาดภาพมาโดยตลอด และผลงานชิ้นนี้เองที่บิดาหอบเอาขึ้นรถจักรยานยนต์ตระเวนพาไปอวดเพื่อนบ้านทั่วทั้งชุมชน

              ในช่วงที่สุไลมาน เดินทางไปร่ำเรียนวิชาศิลปะ ณ ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ได้เพียง 1 ขวบปี ขณะที่กำลังขึงผ้าใบเพื่อเตรียมวาดภาพ ก็ได้รับแจ้งข่าวร้ายผ่านทางโทรศัพท์ว่า “พ่อถูกยิงตาย” ซึ่งเด็กหนุ่มจากบ้านคอกช้างยังไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน กระทั่งเสียงสะอื้นร่ำไห้เล็ดลอดผ่านปลายสาย เขาจึงเก็บกระเป๋ามุ่งหน้ากลับปัตตานีทันที

              “คนร้ายยิงพ่อผมด้วยอาวุธปืนจนเสียชีวิตขณะขี่มอเตอร์ไซค์เมื่อวันศุกร์ที่ 25 มกราคม ปี 51 เวลาประมาณ 17.15 น. ส่วนแม่โดนกระสุนปืนเข้าที่หัวไหล่วันนี้ยังมีรอยแผลเป็นให้ท่านรู้สึกเจ็บปวดอยู่เลย” สุไลมาน ย้อนเรื่องราว

              สุไลมาน บอกว่า "ชีวิตเหมือนโดนคนเอาไม้ฟาดลงมาที่กลางศีรษะ เพราะรู้สึกมึนไปหมด ที่สำคัญพ่อยังไม่มีโอกาสเห็นผลงานศิลปะที่ผมไปร่ำเรียนอย่างจริงจังเลยสักชิ้น นี่คือความเสียใจที่ผมไม่รู้จะบรรยายอย่างไร"  

              หลังเสร็จสิ้นพิธีทางศาสนา เขาได้มุ่งหน้ากลับสู่ศูนย์ศิลปาชีพบางไทรอีกครั้ง ด้วยกับความมุ่งมาดว่าจะเก็บเกี่ยวความรู้ในวิชาศิลปะให้มากที่สุด และจะนำเอาสิ่งนี้กลับมาทำงานเพื่อสังคม โดยเฉพาะสามจังหวัดชายแดนใต้ เพราะเชื่อว่าศิลปะสามารถเยียวยาความรุนแรงได้

              “ศิลปะรักษาคนได้ เพราะผมผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาได้ด้วยสิ่งนี้ ดังนั้นผมจะเอาความรู้กลับไปเยียวยาเด็กและเหยื่อความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัด ที่สำคัญผมไม่อยากให้ใครสูญเสียเหมือนผม และอยากให้เหตุการณ์ภาคใต้สงบสุขอีกครั้ง ไม่อยากเห็นใครต้องสูญเสียครอบครัว ญาติพี่น้องอีก” 

              กว่า 4 ปีเต็มกับการเรียนรู้ศิลปะ ณ ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร จนเริ่มนำผลงานออกสู่สายตาภายนอก โดยเฉพาะความสามารถด้านการวาดภาพเหมือนด้วยสีน้ำมัน โดยเฉพาะพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์

              ที่สำคัญรายได้จากการวาดภาพทุกบาททุกสตางค์นอกจากจะส่งมาให้ผู้เป็นแม่เพื่อเลี้ยงครอบครัวแล้ว ยังนำเงินส่วนหนึ่งไปสมทบเพื่อสร้างมัสยิดภายในหมู่บ้านอีกด้วย เพราะสุไลมาน เชื่อว่า ศิลปะและศาสนาคือสิ่งที่จะกล่อมกล่อมจิตใจคนในชุมชนให้อยู่บนเส้นทางที่ดีได้โดยไม่ตกอยู่ในวังวนของความรุนแรง

              ล่าสุดมีผู้ซื้อผลงานของสุไลมานด้วยเงินเป็นตัวเลขถึง 6 หลัก ซึ่งเป็นผลงานพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้เจ้าตัวนำเอารายได้มาร่วมสร้างมัสยิดใกล้บ้านอย่างเต็มกำลังด้วยหวังจะให้ศาสนสถานของชุมชนแล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด

              นอกจากนี้ผลงานศิลปะของสุไลมาน ยังมีลูกค้าที่เป็นชาวไทย และชาวต่างประเทศ ออเดอร์มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งจะเป็นภาพที่สะท้อนแง่มุมชีวิตและอัตลักษณ์วิถีสังคมคนปลายด้ามขวาน โดยรายได้ส่วนหนึ่งจากการขายภาพนอกจากจะบริจาคสร้างมัสยิดแล้ว ยังนำไปใช้ทำกิจกรรมเพื่อสังคม พัฒนาเยาวชนในสามจังหวัดชายแดนใต้ ผ่านกลุ่มศิลปินชายแดนภาคใต้อีกด้วย

              ทุกวันนี้สุไลมานจะตระเวนเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ให้แก่เยาวชนในพื้นที่ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ด้วยการวาดภาพ โดยลงทุนควักกระเป๋าซื้อผ้าใบและสีน้ำมันด้วยตัวเอง แล้วนำไปให้เด็กๆ ละเลงจินตนาการผ่านปลายพู่กันมาเป็นเวลาหลายขวบปีแล้ว

              “เด็กๆ จำนวนมากที่ผมได้ตระเวนสอนวาดภาพในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ผมเห็นแววตาแห่งความสุขเพราะสิ่งนี้หลายคนแทบไม่มีโอกาสได้ทำมาก่อน ดังนั้นผมตั้งใจว่าจะเอาศิลปะไปกล่อมเกลาเด็กให้ทั่วปลายด้ามขวาน” สุไลมานกล่าว                  

              ล่าสุดสิ่งที่สร้างความปลาบปลื้มปีติให้แก่ชีวิตมากที่สุดนั่นคือ เมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธี “เบิกพระเนตรพระพุทธมหามุนินทโลกนาถ” ณ อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว อ.โคกโพธิ์ และเสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงแรมซี.เอส.ปัตตานี เพื่อทรงเจิมแผ่นศิลาเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี ของการก่อตั้งบริษัท อีซูซุ หาดใหญ่ จำกัด เมื่อวันจันทร์ที่ 14 มกราคม 2556  สุไลมาน ยาโม มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายพระฉายาสาทิสลักษณ์ ด้วยตนเอง

              “ผมยังมีฝันหนึ่งที่จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ นั่นคือผมจะวาดภาพ "ในหลวง" เมื่อคราวเสด็จฯ ลงพื้นที่ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมภาพถ่าย ซึ่งเป็นพระราชกรณียกิจที่น้อยคนนักจะเคยรับรู้ว่าถิ่นทุรกันดารใน 3 จังหวัด พระองค์ท่านได้เสด็จฯ มาพระราชทานความช่วยเหลือมากมาย ซึ่งภาพส่วนใหญ่เป็นภาพถ่ายขาวดำทั้งสิ้น และผมตั้งใจจะถ่ายทอดเรื่องราวเป็นภาพสีน้ำมันจำนวน 86 ภาพ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ 86 พรรษา โดยจะนำภาพมาแสดงนิทรรศการในพื้นที่เพื่อให้ทุกคนในดินแดนแห่งนี้รับรู้ว่าพระองค์ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรในชายแดนภาคใต้มากล้นเพียงใด” สุไลมาน กล่าวถึงความตั้งใจ

              ทั้งหมดคือเรื่องราวของเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง ที่ตั้งใจจับพู่กันป้ายสีน้ำมันลงบนผืนผ้าใบเพื่อหวังดับไฟที่คุโชนอยู่ที่ปลายด้ามขวานเวลานี้
..............................

(หมายเหตุ : 'สุไลมาน ยาโม'ทอฝันร่วมดับไฟใต้ด้วยพู่กัน :  สุพิชฌาย์ รัตนะรายงาน)