
'แพนด้า' หรือ 'ช้างน้อย'
ฮอตฮิชชู่ : 'แพนด้า' หรือ 'ช้างน้อย'
รัฐบาลไทยพร้อมจ่ายเงินให้ประเทศจีนปีละ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 29 ล้านบาท ณ วันที่เงินบาทแข็งตอนนี้ แลกกับการที่ "หลินปิง" แพนด้าแสนน่ารักที่คนไทยได้เห็นตั้งแต่ลืมตามาดูโลก และได้เห็นพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อแลกกับการที่ "หลินปิง" จะได้อยู่สวนสัตว์เชียงใหม่ต่ออีก 15 ปี และยังต้องจ่ายอีก 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 15 ล้าน เพื่อให้ "หลิยฮุ่ย" และ "ช่วงช่วง" พ่อแม่ของหลินปิงได้อยู่ที่เมืองไทยต่อไปเช่นกัน
เรื่องการเป็นกระแสร้อนในสังคม โดยเฉพาะโลกโซเชียลมีเดีย แม้กระทั่งมูลนิธิเพื่อนช้าง โดย โซไรดา ซาลวาลา เลขาธิการมูลนิธิเพื่อนช้าง ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะจ่ายเงินกว่า 44 ล้านบาท เพื่อแลกกับการที่ครอบครัวหลินปิงจะได้อยู่ในประเทศไทยต่อ เพราะในประเทศไทยยังมีสัตว์ป่าอีกจำนวนมากที่รัฐบาลไม่เคยเหลียวแลเลย โดยเฉพาะ "ช้าง" ที่เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของชาวไทย แต่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก เพราะปัจจุบัน ปางช้าง หรือมูลนิธิช้างทั่วประเทศไทยต้องระดมเงินจากประชาชนมาช่วยดูแลช้างกันเอง ซึ่งได้เงินปีละไม่ถึง 12 ล้านบาท ยังไม่รวมถึงสัตว์ป่าอื่นๆ อีกมากที่ยังไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาดูแลอย่างชัดเจน...แล้วคุณล่ะ...มองเรื่องนี้อย่างไร
เริ่มจาก สมพล ชัยสิริโรจน์ กรรมการบริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และผู้อำนวยการผลิตภัณฑ์แอร์โรว์ ผู้ริเริ่มโครงการ "ปล่อยช้างคืนสู่ป่า" ออกตัวว่าในฐานะที่ทำงานในภาคธุรกิจ ที่บริษัทเองก็มีนโยบายดูแลสัตว์ เพื่อให้คืนสู่ธรรมชาติ แม้จะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ทว่าที่ผ่านมาเมื่อสามารถดำเนินงานได้บรรลุวัตถุประสงค์ ก็ถือว่าเป็นเรื่องคุ้มค่า ส่วนเรื่อง "แพนด้า" ไม่ต้องการแสดงความคิดเห็นเพราะที่ผ่านมาไม่ทราบถึงวัตถุประสงค์ตั้งแต่ต้นของภาครัฐ แต่ขอฝากคำถามว่าต้องการนำแพนด้าเข้ามาอยู่ในประเทศไทยนั้น "เพื่ออะไร?" และ "คุ้มกับการลงทุนหรือไม่?"
"คงต้องไปดูที่วัตถุประสงค์แรก ว่าเอาแพนด้ามาเพื่ออะไร ให้คนหรือเด็กผูกพันกับธรรมชาติกับสัตว์ หรือทำในเชิงพาณิชยกรรมอะไรหรือเปล่า ถ้ารู้ว่าวัตถุประสงค์คืออะไรก็จะตอบได้ว่า ตรงกับวัตถุประสงค์หรือไม่ หรือถ้าต้องการปลูกฝังเรื่องความผูกพันระหว่างคนกับสัตว์จริงๆ นอกจากแพนด้าแล้วยังจะมีวิธีอื่นที่ใช้งบประมาณที่น้อยกว่าไหม? หรืออย่างดีก็สนับสนุนเรื่องอื่นควบคู่กันไปด้วยได้หรือไม่? มีคนผูกพันกับแพนด้า ก็ยังมีคนผูกพันกับช้าง และอีกหนึ่งประเด็นที่อยากฝากคำถาม คือเงินที่ต้องจ่ายไปนั้นคุ้มค่าหรือไม่ คำถามที่ตามมา ทุกวันนี้เงินในประเทศมีพอใช้ไหม ยังต้องกู้หนี้ยืมสินเขามาหรือเปล่า จำเป็นหรือไม่ที่เราต้องลดต้องทอนลงอย่างอื่นลงไปเพื่อสิ่งนี้" สมพล ฝากคำถามเป็นชุด
ในมุมมองของรองประธานชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย "เอม" เอมพงศ์ บุญญานุพงศ์ บอกว่าเรื่องนี้ชี้ชัดได้เลยว่าวิธีคิดระบบการจัดการทรัพยากรในประเทศไทยของรัฐบาลหรือข้าราชการไทย ไม่ได้คิดจากความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากร แต่คิดมาจากเรื่องการกำไร ขาดทุน ด้วยมาตรฐานว่าคุ้มทุนหรือไม่ กำไรมากน้อยแค่ไหน ไม่ได้สนใจเรื่องคุณค่า หรือประโยชน์และความหลากหลายทางชีวภาพ แม้กระทั่งเรื่องต้นไม้ที่กรมป่าไม้ดูแล ก็ไม่เคยเห็นแนวคิดที่จะสานต่อเรื่องของประโยชน์และความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ สัตว์ป่า ว่าจะเป็นวัฏจักรที่สำคัญของสิ่งมีชีวิต
"ลองคิดดูว่าถ้าเอาสัตว์ธรรมดาไปไว้ที่สวนสัตว์คนจะเข้าไปดูหรือไม่ คงไม่เข้าจึงไม่คุ้ม แต่ถ้าเป็นแพนด้าคุ้มแน่นอน เลยต้องยอมเสีย 40 กว่าล้าน ส่วนอะไรไม่คุ้มไม่สนใจยกตัวอย่างไนท์ซาฟารี ไปดูได้สัตว์เจ็บป่วยมากมายไม่ได้รับการดูแล เพราะมันไม่คุ้มทุน และ ส่วนตัวมองเลยว่าทุกวันนี้แพนด้าไม่รับความสนใจแล้ว ควรจะคืนเขาไป มันขายไม่ได้แล้ว แต่ที่ยอมจ่ายเงินมหาศาลกันอยู่เพราะมีคนได้ประโยชน์หรือเปล่า" รองประธานชมนักข่าวสิ่งแวดล้อมให้แง่คิดเป็นการปิดท้าย
ด้าน "เสือ" อนุชา โยธี เจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ความเห็นว่า ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะทุ่มงบมากขนาดนั้น เพื่อไปดูแลสัตว์จากต่างประเทศอย่างหมีแพนด้า แต่ควรหันมาใส่ใจสัตว์ป่าในบ้านเรามากกว่า โดยเฉพาะช้าง ซึ่งเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทย
"ผมมองว่าหมีแพนด้าก็เป็นสัตว์ที่ควรดูแลเช่นกัน แต่ก็ไม่ควรให้ความสำคัญมากจนเกินไป การจะต้องจ่ายเงินมากขนาดนั้นเพื่อให้มาอยู่ในบ้านเรา ตรงนี้ต้องบอกตามตรงว่าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ผมว่ามันมากเกินความจำเป็น ควรนำงบฯ ตรงนี้ไปดูแลสัตว์พื้นบ้านของเรามากกว่า อย่างช้างก็เป็นสัตว์ควรดูแลอย่างมาก อีกอย่างที่ควรทำควบคู่กันไปคือการเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อให้สัตว์ป่ามีที่อยู่อาศัยและมีแหล่งอาหารที่เพียงพอ อย่างที่ผ่านมามีข่าวว่าช้างป่าออกมากินพืชผักของชาวไร่ที่ปลูกไว้แล้วถูกทำร้าย ซึ่งตรงนี้ก็อยากให้จัดสรรงบไปดูแลด้วย เพราะหากสัตว์ป่ามีที่อยู่อาศัยและมีแหล่งอาหารพอเพียง ก็จะไม่เกิดการรุกรานซึ่งกันและกัน" เจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้ความเห็น
ส่วนความคิดเห็นของนักศึกษาปีที่ 4 คณะนิเทศศาสตร์ สาขาประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย "ยุ้ย" ปณิสรา เสถียรถาวร ก็บอกว่าแม้แพนด้าจะเป็นสัตว์ที่น่ารักหาดูไม่ได้ในประเทศไทย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมีไว้ในประเทศไทยตลอดไปก็ได้ อยากให้รัฐช่วยเหลือความเป็นอยู่ของช้างไทยให้ดีขึ้นกว่านี้ อย่างไรช้างก็เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองเรา อยู่กับเรามานานแล้ว จะไม่สนใจเขาเลยก็น่าสงสารนะ เคยมีโอกาสไปดูแพนด้าที่เชียงใหม่ครั้งหนึ่ง ก็ยอมรับว่าเขาน่ารักดีแต่ก็เป็นสัตว์ต่างถิ่น มีไว้เป็นสีสันของบ้านเมืองในบางช่วงบางปีก็ไม่เห็นจำเป็นต้องให้อยู่ตลอดไปเลย เอางบเอากำลังคนมาดูแลช้างไทยดีกว่า คนต่างประเทศเขาลงก็ทุนบินมาดูความน่ารักของช้างบ้านเราตั้งเยอะน่าจะให้ความสำคัญพัฒนาส่วนตรงนี้ อีกเรื่องคือช้างป่าโดนทำร้ายที่เราเห็นในข่าวบ่อยขึ้นก็ไม่ควรนิ่งเฉยไป น่าจะช่วยเหลือเรื่องความเป็นอยู่ของช้างให้มากขึ้น ไม่อยากนั้นอีกหน่อยก็คงไม่มีช้างให้ลูกหลานเห็นกันพอดี
ปิดท้ายที่ ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ ธนภัทร พงษ์ภมร ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ กล่าวว่า การจ่ายเงินให้กับทางการจีนเพื่อแลกกับการที่แพนด้าหลินปิงเดินทางกลับมาอยู่ที่สวนสัตว์เชียงใหม่เป็นเวลา 15 ปี ถือเป็นเรื่องของงานวิจัยและขยายพันธุ์แพนด้า ซึ่งหลายประเทศทั่วโลกที่จีนมอบแพนด้าให้ต้องจ่ายเพื่อสนับสนุนงานวิจัย เพราะจีนอยากให้ทุกประเทศได้มีส่วนร่วมในการศึกษาวิจัยและขยายพันธุ์แพนด้า ทุกประเทศจึงต้องจ่ายเงินเพื่อเป็นค่าสนับสนุนการวิจัย ซึ่งถือว่าการที่ไทยจ่ายเงินครั้งนี้คุ้มค่า
"หากมองย้อนกลับไปแพนด้าหลินปิงอยู่ในไทยตั้งแต่คลอดจนปัจจุบัน มีผลต่อจิตใจของประชาชนและอยู่ในใจของผู้คน เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างความสุขให้แก่ประชาชนจนมีแฟนคลับหลินปิงเกิดขึ้น เพราะประชาชนมีความสุขจากการได้ติดตามความเคลื่อนไหวของแพนด้าซึ่งดูได้จากรายการทีวีที่ถ่ายทำชีวิตหลินปิงตลอด 24 ชั่วโมง จนเกิดกระแสประชาชนและนักท่องเที่ยวติดตามมาดูหลินปิงที่สวนสัตว์เชียงใหม่ และยังพูดถึงหลินปิงในแง่ที่ดีที่สร้างความสุขให้ประชาชน" ผอ.สวนสัตว์เชียงใหม่ แจงรายละเอียด หลากมุมมองหลากความคิด...ฝากเพียงนิด "อย่าลืมดูแลสัตว์ป่าของเรา"