ข่าว

กระดิกลิ้นจระเข้กันเถอะ

กระดิกลิ้นจระเข้กันเถอะ

29 เม.ย. 2556

กระดิกลิ้นจระเข้กันเถอะ : วันเว้นวัน จันทร์ พุธ ศุกร์ กับ ประภัสสร เสวิกุล


              ในสมัยก่อนที่ชีวิตของคนไทยยังเรียบง่ายไม่วุ่นวายยุ่งเหยิงเช่นทุกวันนี้ และสื่อกระแสหลัก เช่นวิทยุ กับหนังสือพิมพ์ยังมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน ขณะที่สถานีโทรทัศน์ก็มีเพียงไม่กี่ช่องและออกอากาศในเวลาที่จำกัด ทำให้คัดเฟ้นรายการทั้งสาระและความบันเทิงที่มีคุณค่า ในสมัยนั้น สถานีวิทยุแห่งประเทศไทย ของกรมประชาสัมพันธ์ แทบจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การเทียบเวลา รายการข่าว และเสียงเพลงที่ไพเราะรื่นหู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงปลุกใจหรือเตือนใจ 2-3 เพลงในตอนเช้าทุกเช้า

              เพลงดังกล่าว เท่าที่นึกได้ในตอนนี้ ก็มีเช่น “ต้นตระกูลไทย” ที่ขึ้นต้นว่า “ต้นตระกูลไทยใจท่านเหี้ยมหาญ รักษาดินแดนไทยไว้ให้ลูกหลาน สู้จนสูญเสียแม้ชีวิตของท่าน เพื่อถนอมบ้านเมืองไว้ให้เรา”  เพลง “อานุภาพพ่อขุนรามคำแหง” ที่ขึ้นต้นว่า “ในน้ำมีปลาในนามีข้าว แผ่นดินของเรานี่แสนอุดมสมบูรณ์ บ้านเมืองราบคาบ ด้วยอานุภาพพ่อขุน รามคำแหงค้ำจุน ให้ชาติไทยไพศาล” หรือที่เก่าไปกว่านั้นก็อย่าง “ใต้ร่มธงไทย” ที่ขึ้นต้นว่า “ใต้ร่มธงไทยร่มเย็นเหมือนดังอยู่ในร่มโพธิ์ร่มไทรที่มีกิ่งใบแน่นหนา ชาติไทยใหญ่หลวงแต่กระจัดกระจาย ถูกแยกแบ่งย้ายไปอยู่หลายสาขา” และ “รักเมืองไทย” ที่ขึ้นต้นว่า “รักเมืองไทย ชูชาติไทย ทำนุบำรุงให้รุ่งเรือง สมเป็นเมืองของไทย เราชาวไทย เกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย เรารักเพื่อนบ้าน แต่ไม่รานรุกใคร ศัตรูใจกล้ามาแต่ทิศใด ถ้าข่มเหงไทยคงจะได้เห็นดี” เป็นต้น

              แต่เพลงที่ผมชอบมากเพลงหนึ่งคือ “อธิษฐานเอย” ที่ขึ้นต้นว่า “อธิษฐานเอย สองมือจับพานประดับพวงพุทธชาด ขอกุศลผลบุญ จงมีแด่ผู้ทำคุณประโยชน์ไว้ในชาติ” กับท่อนที่ว่า “ขอไทยรักไทยร่วมเป็นมิตรจิตใจ ถือไทยเป็นพี่น้อง อย่ามีใครยุแยก อย่าทำให้แตกร้าวฉาน ขอให้ช่วยกันสมานเพื่อนไทยทั้งผอง จงสามัคคีเหมือนพี่เหมือนน้อง กลมเกลียวเกี่ยวข้อง รักกันทั่วทุกคน”

              เพลงข้างต้นนี้แทบทุกเพลงประพันธ์โดย พล.ต.หลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งส่วนหนึ่งประพันธ์ในสมัยสงครามอินโดจีน และสงครามโลกครั้งที่สอง บางส่วนเป็นเพลงประกอบละครเวที แต่ได้รับความนิยมมาจนถึงหลัง พ.ศ.2500 มาเสื่อมซาไปตั้งแต่ พ.ศ.2516 เป็นต้นมา

              ในสมัยก่อนนั้น แม้ว่าสื่อจะมีไม่มากเท่าทุกวันนี้อีกทั้งเสรีภาพของสื่อก็มีอย่างจำกัด แต่ทุกสื่อในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ ล้วนมีคุณภาพและถูกใช้ไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและสังคม ซึ่งผิดกับทุกวันนี้ ที่ปริมาณและช่องทางของสื่อมีมากมายหลายหลาก แต่คุณภาพของรายการทั้งสาระและบันเทิงกลับลดน้อยถอยลง และตกเป็นเครื่องมือทางธุรกิจหรือผลประโยชน์ส่วนบุคคลอย่างเต็มตัว จนขาดอุดมการณ์ ศีลธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ แทบจะสิ้นเชิง

              เพลงปลุกใจและเพลงเตือนใจในอดีตนั้น มีอิทธิพลอย่างสูงต่อความคิดและจิตใจของผู้ฟัง ก่อให้เกิดความรักชาติภาคภูมิใจในความเป็นไทย รักเผ่าพงศ์ ปลูกจิตสำนึกของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความกล้าหาญ การยินยอมที่จะเสียสละชีวิตและประโยชน์สุขส่วนตัวเพื่อประเทศชาติ ซึ่งการที่คนไทยรุ่นใหม่ขาดความรู้สึกและอารมณ์ร่วมในเรื่องเหล่านี้ และเมินเฉยต่อการที่บ้านเมืองและคนดีๆ ถูกปู้ยี่ปู้ยำ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการไม่ได้ยินได้ฟังเพลงที่คอยกระตุ้นจิตสำนึกด้านดีต่างๆ ดังกล่าว แถมยังถูกกรอกหูด้วยเพลงของค่ายเพลงต่างๆ ที่ยึดครองสื่อสถานีวิทยุทั่วประเทศ

              ถึงเวลาหรือยังครับ ที่เราจะถามตัวเองว่านี่เราตกเป็นเหยื่อของระบบโฆษณาชวนเชื่อทางธุรกิจผ่านสื่อต่างๆ มามากพอหรือยัง? และนานพอหรือยัง? ทำอย่างไรเราจึงจะเรียกร้องความรับผิดชอบ ความรู้จักพอและความคิดในทางสร้างสรรค์สังคมกลับคืนมาจากสื่อ มิใช่ทำตัวเป็นจระเข้ที่ไม่มีลิ้นรับรสสัมผัส และขยอกกลืนเศษอาหารหรือซากสัตว์เน่าๆ ที่คนอื่นหยิบโยนมาให้