ข่าว

ภูมิซรอลผวาเสียงปืนแตกพิพาท'เขาพระวิหาร'

ภูมิซรอลผวาเสียงปืนแตกพิพาท'เขาพระวิหาร'

15 เม.ย. 2556

ภูมิซรอลผวาเสียงปืนแตกพิพาท'เขาพระวิหาร' : โดยพงษ์พัฒน์ ไตรพิพัฒน์รายงาน


               นับเป็นช่วงที่คนไทยต้องเฝ้าจับตา วันที่ 15-19 เมษายนนี้ กรณีทีมตัวแทนไทย-กัมพูชา ไปให้ปากคำต่อศาลโลก กรณีกัมพูชายื่นตีความกรณีพิพาทพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรปราสาทพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ แต่ระหว่างรอเวลาการตัดสินและพิจารณาอยู่นี้ คนที่เป็นทุกข์เป็นร้อนมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นชาวบ้านตลอดแนวชายแดนไทย-เขมร เพราะหากผลออกมาเป็นบวกก็คงจะพอยิ้มและก้มหน้าก้มตาทำมาหากินต่อไปได้ แต่หากเป็นลบต่อฝ่ายใดก็ตาม การอพยพอาจเกิดขึ้นอีกครั้ง และหวั่นว่าเสียงปืนอาจจะดังขึ้นอีกคราว

               นางคำดี แตะต้อง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เป็นผู้ใหญ่บ้านหญิงที่ต้องดูแลทุกข์สุของลูกบ้าน เธอเล่าให้ฟังในวันที่ข่าวสารข้อมูลต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาและเธอต้องนำไปกระจายต่อ เพื่อให้ลูกบ้านพร้อมรับมือทุกสถานการณ์

               ผู้ใหญ่บ้านหญิง เล่าว่า ก่อนหน้านี้อำเภอได้เชิญประชุมแผนการอพยพ เพื่อเตรียมความพร้อมกับผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ผู้นำชุมชน โดยเน้นหมู่บ้านที่ติดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จากนั้นก็มาประชุมซักซ้อมกับชาวบ้านในหมู่บ้านอีกครั้ง ให้รับทราบข้อมูล ข่าวสาร ได้เตรียมความพร้อม โดยเน้นอย่าให้ชาวบ้านตื่นตระหนกตกใจ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์อะไรรุนแรง แต่ถ้าหากเกิดเหตุความไม่สงบเกิดขึ้นก็ให้รับฟังประกาศของผู้นำชุมชน หรือผู้ใหญ่บ้าน ที่จะประกาศให้ทราบทางหอกระจายข่าว และดำเนินการตามแผนที่เคยซ้อมไว้อย่างเคร่งครัด ทั้งการวิ่งไปยังหลุมหลบภัย การอพยพไปยังสถานที่ทางราชการเตรียมไว้

               อย่างไรก็ดี ชาวบ้านไม่เห็นด้วยในการที่จะมีกลุ่มบุคคล กลุ่มพลังมวลชนต่างๆ เข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่ หรือใช้พื้นที่หมู่บ้านภูมิซรอลในการปฏิบัติการใดๆ เพื่อมาสร้างประเด็น เพราะหากทำเช่นนั้นอาจจะเป็นการไปยั่วยุให้เกิดชนวนความรุนแรง เพราะปกติชาวบ้านยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม ไปทำไร่ไถนาปลูกมัน ตามปกติ พร้อมๆ กับการรับฟังข่าวสารความเคลื่อนไหวต่างๆ อยู่เป็นประจำทั้งทางทีวี ทางวิทยุ ไม่ว่าจะเป็นของไทย และของกัมพูชา

               โดยเฉพาะชาวบ้านที่เคยประสบเหตุการณ์ปะทะกัน ลูกปืนใหญ่ บีเอ็ม 21 ของฝ่ายทหารกัมพูชาที่ยิงเข้ามาตกยังฝั่งไทย เมื่อปี 2554 ได้เก็บลูกปืนใหญ่อันนั้นไว้เป็นที่ระลึก เพื่อเตือนใจว่า ครั้งหนึ่งชาวบ้านภูมิซรอลเคยเกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา และมีการยิงสู้รบกันจนทำให้บ้านเรือน และชีวิตของชาวหมู่บ้านภูมิซรอลได้รับความเสียหาย ทั้งทรัพย์สิน ร่างกาย จิตใจไปมากเช่นกัน

               นายถนอม ศิลาวงษ์ อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 190 หมู่ 2 ต.เสาธงชัย หนึ่งในชาวบ้านที่เตรียมพร้อมอพยพไว้แล้ว บอกถึงสัญญาณผิดปกติบางประการจากฝั่งเขมรว่า น่าสงสัยว่านับตั้งแต่เช้าวันที่ 14 เมษายน สัญญาณโทรทัศน์ของฝ่ายกัมพูชาที่เคยแพร่ภาพมาทางช่องดาวเทียม ตอนนี้ไม่มีสัญญาณภาพข่าวมาเลย ขณะเดียวกันสถานีวิทยุของฝ่ายกัมพูชาที่เคยออกอากาศก็เริ่มเปิดแต่เพลงให้ฟัง ไม่มีการอ่านข่าวเช่นทุกวัน

               "มีเพื่อนบ้านหลายคนเก็บข้าวของอพยพหนีไปอาศัยยังบ้านญาติๆ ที่อยู่ห่างไกลจากชายแดนแล้ว อย่างเช่นที่หมู่บ้านบึงมะลู มีเด็กๆ และคนชราอพยพออกจากหมู่บ้านกันหมดแล้ว แม้ผู้นำหมู่บ้านจะประกาศว่ายังไม่มีอะไร ไม่เกิดอะไรก็ไม่รับฟัง อ้างว่าเพื่อความปลอดภัยของครอบครัว" นายถนอม เล่าถึงเหตุการณ์ชายแดนสองประเทศ

               ขณะเดียวกันเขาเองก็เก็บข้าวของเท่าที่จำเป็นเตรียมไว้ในกระเป๋าพร้อมที่จะอพยพได้ตลอด 24 ชั่วโมง หากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน ได้ซ้อมแผนการอพยพไว้เรียบร้อยแล้ว และมีการฝึกทบทวนแล้วเช่นกัน

               "ชาวบ้านภูมิซรอลเคยมีประสบการณ์จากถูกยิงถล่มเมื่อปี 2554 ชาวบ้านยังจำได้ติดตา และไม่เคยลืมเหตุการณ์เหล่านั้น ณ วันนี้ หากเกิดความไม่สงบเกิดขึ้น ชาวบ้านมีความพร้อมสูงในการอพยพ และก่อนจะอพยพแผนการเอาตัวรอดก็คือ นำเด็กและคนชราไปหลบยังหลุมหลบภัยก่อน รอสัญญาณจากทางส่วนราชการที่จะนำรถบรรทุกมาขนผู้คนอพยพไปอยู่ยังที่ทางราชการเตรียมไว้รอ และหากสถานการณ์ยังรุนแรงทางราชการก็จะอพยพต่อไปยังที่ปลอดภัย ห่างไกลที่สุด"

               ชาวภูมิซรอลผู้นี้ ระบุด้วยว่า ก่อนหน้านี้ได้นำเงินที่ขายพืชผลทางการเกษตรไปฝากธนาคาร และทำบัตรเอทีเอ็มเตรียมไว้ เพื่อจะได้กดใช้ยังที่อื่นๆ ห่างไกลบ้านได้ ลูกก็เก็บของเล่นเท่าที่จำเป็นใส่ถุง และทุกวันก็เฝ้าดูติดตามข่าวเพื่อความไม่ประมาท ขณะเดียวกันได้ซ่อมแซมบ้านเพื่อไม่ให้มีช่องโหว่ หากมีการอพยพอย่างกะทันหันจะได้สามารถปิดประตูใส่กลอนและอพยพไปอยู่ที่อื่นได้อย่างสบายใจว่าจะไม่มีโจรขโมยมาลักขโมยสิ่งของในบ้าน

               นายวีระยุทธ ดวงแก้ว กำนันตำบลเสาธงชัย กล่าวว่า ชาวบ้านภูมิซรอลในเขต ต.เสาธงชัย รับทราบข้อมูลข่าวสารกันมาโดยตลอดว่า ผู้นำและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องของไทยกำลังเดินทางไปขึ้นศาลโลก เพื่อชี้แจงข้อมูลที่ฝ่ายกัมพูชาฟ้องศาลโลกเรื่องปราสาทพระวิหารกับพื้นที่รอบบริเวณปราสาท ซึ่งชาวบ้านก็มียังมีความเชื่อมั่นอยู่ว่า ฝ่ายไทยน่าที่จะเอาอยู่ และน่าจะยังไม่เกิดความรุนแรงใดๆ เกิดขึ้นในระยะนี้

               เพราะระหว่างวันที่ 15-19 เมษายน เป็นเพียงการให้ข้อมูลของทั้งสองฝ่าย ยังไม่ได้ตัดสินอะไร และคนทั่วโลกก็เฝ้าดูพฤติกรรมของทั้งสองประเทศที่มีเรื่องพรมแดนกันอยู่ ดังนั้นฝ่ายไหนดำเนินการก่อนฝ่ายนั้นแพ้ทันที เพราะสังคมโลกคงจะไม่ยอม

               ในฐานะเป็นผู้นำในพื้นที่ ได้พูดคุยกับชาวบ้านว่า ยังไม่มีอะไร อย่าได้ตื่นตระหนกไป แต่หากมีอะไรก็ขอให้รับฟังผู้นำชุมชนเท่านั้น อย่าไปรับฟังคนอื่น ที่อาจจะไม่หวังดีต่อชุมชน พร้อมกับให้มีการเตรียมพร้อมและจัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้เท่าที่จำเป็นอพยพให้ดำเนินการตามแผน

               "ชาวบ้านฟังภาษาเขมรที่ออกอากาศเตือนประชาชนทางฝั่งกัมพูชาออกทุกคำพูด ดังนั้นเขาจะทราบว่าอะไรจะเกิดบ้าง เมื่อใด ประกอบกับเคยมีประสบการณ์ เรียกได้ว่าวัวหาย ปัจจุบันนี้ได้ล้อมคอกแล้ว หากถามว่า ชาวบ้านมีความหวาดผวาหรือไม่ ก็มีเช่นกัน เพราะที่ผ่านมาเคยประสบเหตุลูกปืนใหญ่ที่ยิงเข้ามา และการโต้ตอบของฝั่งไทย น่ากลัวมาก ลูกปืนลอยข้ามหัว ข้ามหลังคาชาวบ้านเป็นห่าฝน ยิ่งมีการยิงกันในช่วงเวลากลางคืน มองเห็นท้องฟ้าเป็นลูกไฟแดงลอยข้ามไปมาน่ากลัวมาก และยิ่งมาตรวจสอบในช่วงเหตุการณ์สงบลง พบเห็นลูกปืนใหญ่ของกัมพูชา พบหลุมที่ลูกปืนใหญ่ตก ยิ่งทำให้ชาวบ้านหวาดผวาหนัก และตอนนี้ก็มีการเตรียมตัวกันพอสมควร ซึ่งบางหมู่บ้านบางพื้นที่ก็อพยพหนีกันแล้วก็มี" ผู้นำชุมชนเล่าถึงเหตุระทึกในอดีต

               แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ชาวบ้านที่นี่ก็พร้อมจะเผชิญหน้า โดยเตรียมความพร้อมเต็มที่ หากไม่เช่นนั้นก็อาจจะต้องสูญเสีย และต่างก็ภาวนาให้ไทยและกัมพูชาจบลงด้วยดี สองประเทศตกลงกันได้ เพราะนั่นหมายถึงชีวิตของพวกเขาจะได้เป็นปกติ ไม่ต้องอยู่แบบหวาดผวาอีกต่อไป

-----------------------------

(หมายเหตุ : ภูมิซรอลผวาเสียงปืนแตกพิพาท'เขาพระวิหาร' : โดยพงษ์พัฒน์ ไตรพิพัฒน์รายงาน)