ข่าว

'แผนอนุรักษ์พลังงาน'ไปไม่ถึงฝัน!!

'แผนอนุรักษ์พลังงาน'ไปไม่ถึงฝัน!!

18 มี.ค. 2556

แผนอนุรักษ์พลังงานไปไม่ถึงฝัน จี้รัฐชัดเจนทางเลือก-ลงมือประหยัดจริงจัง

 

                          ประเทศไทยต้องเสียเงินนำเข้าพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี โดยปี 2555 ที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 1.1 ล้านล้านบาท จากปริมาณการใช้ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาพลังงานก็มีแนวโน้มสูงขึ้น แม้ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานจะพยายามออกมารณรงค์เรื่องการประหยัดพลังงาน แต่ดูเหมือนความตื่นตัวจะเกิดขึ้นแค่ระยะสั้นๆ ไม่มีการปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จนเป็นเสมือนไฟไหม้ฟาง จึงน่าเป็นห่วงว่าในระยะยาวหากประเทศไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานเป็นหลัก ท่ามกลางราคาพลังงานที่แพงขึ้น โดยไม่ปรับพฤติกรรมและหาพลังงานภายในประเทศมาทดแทน แล้วประเทศไทยจะมีความมั่นคงทางพลังงานได้อย่างไร

                          ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ กรณีการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากประเทศพม่าในช่วงวันที่ 5-14 เมษายน 2556 ที่กระทบถึงไทยทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าหายไป 4,100 เมกะวัตต์ ได้สร้างกระแสตื่นตระหนกเรื่องไฟฟ้าขาดแคลน ที่อาจทำให้ไฟตกหรือไฟดับในบางพื้นที่ จนถึงกับต้องออกมารณรงค์ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้ช่วยกันประหยัดพลังงานเพื่อเพิ่มกำลังไฟฟ้าสำรอง ซึ่งล่าสุดก็สามารถวางใจได้ว่าจะไม่มีไฟฟ้าดับอย่างแน่นอน แต่นี่ก็เป็นเพียงแผนระยะสั้น แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ไม่สามารถรับประกันได้ว่าในอนาคต จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกหรือไม่

 

พลังงานหมุนเวียนทางรอดของไทย

 

                          นายเดชรัต สุขกำเนิด นักเศรษฐศาสตร์ด้านพลังงาน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้คร่ำหวอดในวงการพลังงานทั้งในระดับรากหญ้าและระดับนโยบายมานานถึง 16 ปี มองว่า หากดูจากแผนอนุรักษ์พลังงานระยะ 20 ปี (พ.ศ.2554-2537) ที่มีเป้าหมายประหยัดพลังงานให้ได้ 2 หมื่นเมกะวัตต์ ถือว่ากระทรวงพลังงานมีความตื่นตัวเรื่องประหยัดพลังงานพอสมควร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ไม่สามารถเดินตามแผนที่วางไว้ได้ เนื่องจากไม่มีแผนปฏิบัติการณ์ที่ชัดเจน จึงไม่บรรลุเป้าหมาย ทั้งที่หากเดินตามแผนดังกล่าวได้ ก็ไม่จำเป็นต้องควานหาพลังงานทดแทนอย่างที่เกิดขึ้นขณะนี้ ดังนั้น ในอนาคตรัฐบาลจึงควรเตรียมแผนรับมืออย่างจริงจัง และจำเป็นต้องกระจายการใช้พลังงานเพื่อลดความเสี่ยง โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนที่ยังไม่มีแผนชัดเจนมากนัก

                          ทั้งนี้ พลังงานหมุนเวียนมีความสำคัญ เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่เกิดขึ้นต่อเนื่องไม่หมดไป เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม น้ำ และความร้อนใต้พิภพ ปัจจุบันสามารถนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าได้แล้วถึง 2,000 เมกะวัตต์ เทียบเท่ากับปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของภาคอีสาน หรือภาคใต้ เลยทีเดียว แต่ที่ผ่านมาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนส่วนใหญ่จะเป็นภาคเอกชน หากรัฐบาลปรับระบบการรับซื้อไฟใหม่ให้จูงใจก็น่าจะมีไฟฟ้าเข้ามาในระบบอีก 400-500 เมกะวัตต์ เพราะที่ผ่านมายังมีปัญหาการกำหนดอัตราการรับซื้อของรัฐบาล

                          "โรงไฟฟ้าถ่านหินที่กำลังผลักดันให้เกิดขึ้นนั้น โจทย์คือเรายังไม่มีมาตรฐานที่เข้มงวดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ชาวบ้านได้ หากรัฐจะเดินหน้าจริงจังก็ต้องสร้างความเชื่อมั่นด้านมาตรฐานการผลิตก่อนที่จะไปมองว่าชาวบ้านต่อต้านเพราะไม่เข้าใจ" นายเดชรัตกล่าว

 

สร้างแรงจูงใจ-เริ่มจากเรื่องใกล้ตัว

 

                          ส่วนกรณีที่พม่าหยุดส่งก๊าซให้ไทยและทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าหายไป 800 เมกะวัตต์นั้น ไม่ใช่เรื่องที่ควรตื่นตระหนก เพราะหากช่วยกันประหยัดไฟตามแผนจะช่วยได้มาก เช่น ปิดแอร์ช่วงบ่ายโมงถึงบ่ายสามโมง แต่รัฐต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้องและควรมีแรงจูงใจสำหรับคนที่ประหยัดพลังงาน อาทิ หากใครลดการใช้ไฟลงได้ก็ให้นำบิลไปแลกซื้อสินค้าเป็นการจูงใจ

                          อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยากเห็นคือ การไฟฟ้าควรเปิดเผยข้อมูลการใช้ไฟเป็นรายวัน เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีความตื่นตัวและมีส่วนร่วมในการประหยัด เพราะเมื่อรู้ข้อมูลว่าใช้ไฟฟ้าไปเท่าไหร่ ใกล้ถึงจุดวิกฤติก็พร้อมใจกันปิดไฟปิดแอร์ โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ที่มีการใช้ไฟฟ้ามากเทียบเท่ากับ 3 ภาครวมกันคือ อีสาน เหนือ และกลาง หากคน กทม.ช่วยกันก็จะช่วยได้มาก

                          นายเดชรัตแนะนำว่า แนวทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาในระยะยาวคือ เริ่มต้นจากการปลูกสร้างอาคารบ้านเรือน หรือแม้กระทั่งออฟฟิศ ทั้งของภาครัฐและเอกชน ควรเน้นรูปแบบการประหยัดพลังงาน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำหนดให้เป็นมาตรฐานในการก่อสร้างอาคารไปเลย ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ควบคุมอาคารชุดหรืออื่นๆ เนื่องจากปัจจุบันไม่ได้มีกฎระเบียบข้อบังคับ ทำให้บ้านจัดสรรหรือสถาปนิกไม่ได้ให้ความสำคัญในจุดนี้มากนัก ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำให้ต้นทุนในการก่อสร้างเพิ่มขึ้น หรือหากเป็นห้างสรรพสินค้าที่ออกแบบมาให้ประหยัดพลังงานจะลดการใช้พลังงานได้ถึง 100 หน่วยต่อตารางเมตร หรือลดลงไป 20% ซึ่งขณะนี้เริ่มมีให้เห็นบ้างแล้วแต่ยังน้อยมาก

                          "เช่นเดียวกับบ้านที่อยู่อาศัย หากออกแบบให้ประหยัดพลังงาน จะช่วยเจ้าของบ้านประหยัดค่าไฟฟ้าลงไปด้วย ซึ่งหากคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญจากเรื่องใกล้ตัวแบบนี้ก่อนเป็นอันดับแรก ก็น่าจะทำให้วิกฤติพลังงานไม่เกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน" นายเดชรัตกล่าว

 

ชี้ถึงทางเลือกด้านพลังงาน

 

                          ด้านนายศุภกิจ นันทะวรการ นักวิชาการด้านพลังงาน กล่าวว่า เมื่อ 2-3 ปีก่อน กำลังการผลิตไฟฟ้าของไทยมีปริมาณสำรองเหลือเยอะมากประมาณ 15-20% ของความต้องการสูงสุด และรัฐบาลก็ส่งสัญญาณว่าประเทศไทยมีปริมาณสำรองมากกว่าที่กำหนดในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศในระยะยาว (พีดีพี) แต่ระยะหลังนี้ กลับออกมาโหมโรงว่ามีปริมาณไฟฟ้าสำรองไม่เพียงพอจนต้องมาปรับแผนพีดีพีใหม่ ซึ่งสร้างความสับสนมากๆ และมองว่าประเทศไทยไม่ได้เข้าขั้นวิกฤติพลังงานอย่างที่พยายามสร้างกระแส จึงน่าจะเป็นการสร้างประเด็นเพื่อมุ่งไปสู่การปรับแผนพีดีพีมากกว่า

                          นอกจากนี้ กรณีที่พม่าจะหยุดส่งก๊าซในเดือนเมษายนนี้ รัฐบาลก็รู้ล่วงหน้ามาตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2555 และปริมาณก๊าซก็มีเพียงพอ จากกำลังการผลิตที่มีอยู่ 3,994 ล้านลูกบาศก์ฟุต แต่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า 2,670 ล้านลูกบาศก์ฟุต รวมกับการใช้เอ็นจีวีอีก 300 ล้านลูกบาศก์ฟุต จึงมีส่วนที่ควรเหลืออยู่อีก 900 ล้านลูกบาศก์ฟุต ซึ่งพบว่ามีการนำก๊าซไปใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจำนวนมาก

                          “เวลานี้การพัฒนาด้านพลังงานเดินมาถึงจุดสำคัญของสังคมไทยที่ต้องตัดสินใจ ทั้งการเดินหน้าโรงไฟฟ้าถ่านหิน หรืออื่นๆ ขณะเดียวกันก็ยังไม่มีคำตอบชัดเจนว่าในโลกนี้มีกระบวนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินที่สะอาด 100% หรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะปลอดภัยจริง เพราะประเทศอื่นๆ ก็เกิดปัญหาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ทำให้สังคมไทยยังไม่กล้าตัดสินใจเรื่องนี้” นายศุภกิจกล่าว

                          ประกอบกับการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนของไทยมีการเติบโตแบบบิดๆ เบี้ยวๆ ไม่ได้เดินไปตามแนวทางที่เหมาะสม ทั้งที่หากรัฐบาลสนับสนุนอย่างจริงจังน่าจะมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก แต่ยังติดปัญหาอุปสรรคในขั้นตอนรายละเอียดต่างๆ ที่กลายเป็นด่านสกัดหลังงานหมุนเวียนไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อเทียบกับการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินที่รัฐบาลจะเพิ่มสัดส่วนจาก 4,000 เมกะวัตต์ เป็น 10,000 เมกะวัตต์นั้น ต้องนำเข้าทั้งหมดใช้เงินเป็นแสนล้านบาท ขณะที่พลังงานแสงอาทิตย์ ขี้เถ้าแกลบของประเทศไทยมีมากกว่าประเทศอื่น แต่กลับทำขายไม่ได้เหมือนของจีนและสหรัฐ 

                          นอกจากนี้ ในส่วนของโซลาร์เซลล์ที่ปัจจุบันราคาถูกลงมามาก แต่ประเทศไทยก็ไม่ได้ศึกษาข้อมูลเรื่องนี้อย่างจริงจัง ขณะที่ในแผนพลังงาน 10 ปีกำหนดให้มีการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 2,000 เมกะวัตต์ และเอกชนก็ยื่นเข้าโครงการเต็มหมดแล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกมากที่ไทยมีการกำหนดโควตาการผลิตโซลาร์เซลล์ไว้ด้วย เพราะในประเทศอื่นๆ มีการสนับสนุนให้ผลิตยิ่งมากยิ่งดี แถมมีการจูงใจให้ประชาชนหันมาติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไว้บนหลังคาบ้านมากกว่าการสนับสนุนให้เอกชนทำเป็นทุ่งโซลาร์ฟาร์ม รวมทั้งยังมีประเด็นว่าเหตุใดจึงไม่อุดหนุนชุมชนที่ผลิตไฟฟ้าชีวภาพหรือชีวมวล เช่นเดียวกับที่เอกชนผลิตเพื่อให้ขายให้ภาครัฐ ดังนั้น หากจะส่งเสริมพลังงานทดแทนจริงจังก็ควรคำนึงถึงจุดนี้ด้วย

 

จี้เดินตามแผนอนุรักษ์พลังงานจริงจัง

 

                          นายศุภกิจกล่าวต่อว่า นโยบายของกระทรวงพลังงานมีหลายแผนทั้ง พีดีพีและแผนอนุรักษ์พลังงาน 20 ปี แต่ที่ผ่านมาประเทศไทยพูดกันแค่เรื่องการรณรงค์ ทั้งๆ ที่ควรเดินไปถึงจุดของการลงทุนเพื่อประหยัดหลังงานกันได้แล้ว เนื่องจากในแผนกำหนดไว้ชัดเจนว่าในระยะ 20 ปีเราจะประหยัดได้ถึง 1.75 หมื่นเมกะวัตต์ หรือ 2 หมื่นเมกะวัตต์ แต่ในแผน 5 ปีแรกต้องใช้เงินลงทุน 3 หมื่นล้านบาท เพื่อแลกกับการประหยัดพลังงานได้ 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งก็ถือว่าคุ้มค่า

                          อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่เห็นความชัดเจน หากเอกชนไม่พร้อมดำเนินการในช่วงเริ่มต้นหรือช่วง 5 ปีแรก รัฐบาลก็ควรเป็นผู้นำ เช่น มีกองทุนสนับสนุนให้เปลี่ยนหลอดไฟ หรือปรับระบบเครื่องยนต์กลไกในการทำงานที่ช่วยในการประหยัดพลังงาน เป็นต้น และหลังจาก 5-10 ปีไปแล้ว หากเอกชนยังไม่ยอมทำตามก็ต้องมีมาตรการบังคับ เช่น โรงงานหากไม่ได้ตามมาตรฐานก็ต้องเสียค่าปรับ เป็นต้น

                          “ถ้าเราทำตามแผนอนุรักษ์พลังงานจริงๆ ปี 2556 ก็จะลดการใช้ไฟได้ 1,200 เมกะวัตต์ แต่ในเมื่อทำไม่ได้ตามแผน เราจึงต้องมารณรงค์ให้ช่วยประหยัดกันตอนนี้ ขณะที่ภาครัฐกลับไม่มีการเปิดเผยว่าเรามีการใช้ไฟฟ้าแต่ละวันเท่าไหร่เหมือนกับในต่างประเทศ ซึ่งมีการทำวิจัยมาแล้วว่าหากคนรู้ตลอดเวลาว่าใช้ไฟไปเท่าไหร่จะมีผลให้ประหยัดไฟได้ถึง 10% จริง" นายศุภกิจกล่าว

                          นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเองยังไม่มั่นใจจะทำตามแผนอนุรักษ์พลังงานได้ จึงขอเอามาทำแค่ 20% หรือ 3,500 เมะวัตต์ก่อน ทั้งๆ ที่การประหยัดพลังงานมีต้นทุนน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าและน่าจะทำให้ค่าไฟลดลงได้ 87 สตางค์ต่อหน่วยหรือ 9% จึงเห็นว่ารัฐบาลควรเดินตามแผนอนุรักษ์ที่วางไว้เพื่อลดการใช้พลังงานให้ได้ 1.75 หมื่นเมกะวัตต์จริง เพราะจะช่วยให้ไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าได้ถึง 22 โรง อีกทั้งตามแผนพลังงานหมุนเวียนในปี 2564 จะเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 8,000 เมะวัตต์จากขณะนี้ที่มี 2,000 เมกะวัตต์ หรือเทียบกับโรงไฟฟ้า 7 โรง รวม 2 แผนก็ทำให้ไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าได้แล้ว 30 โรง

                          นายศุภกิจมองว่า การรณรงค์ประหยัดพลังงานของรัฐบาลไม่ได้ทำอย่างต่อเนื่อง จริงจัง ไม่เป็นระบบ และไม่มีการประเมิน หรือวัดผล ทำให้ไม่ค่อยเกิดผลในทางปฏิบัติ อย่างในเดือนเมษายนปีนี้รัฐบาลขอความร่วมมือให้ทุกภาคส่วนลดการใช้ไฟลง 10% นั้น จริงๆ แล้ว ปริมาณก๊าซที่หายไปเทียบกับการลดการใช้ไฟลงแค่ 4% หรือประมาณ 1,100 เมกะวัตต์เท่านั้น เฉพาะห้างขนาดใหญ่ใช้ไฟประมาณ 100 เมกะวัตต์เทียบเท่ากับจังหวัดเล็กๆ อย่างชุมพรจังหวัดหนึ่งแล้ว หากห้างร่วมมือจริงก็ช่วยได้มาก ส่วนกรุงเทพฯจังหวัดเดียวมีการใช้ไฟฟ้าถึง 7,000 เมกะวัตต์ มากกว่าภาคใต้ เหนือ อีสานรวมกัน หากคนกรุงเทพฯ ช่วยกันเพิ่มอุณหภูมิแอร์มาที่ 26-27% แทนที่จะปิดไปเลย ซึ่งมองว่าเกิดขึ้นยากมากในช่วงหน้าร้อน และใช้พัดลมช่วยอีกทางก็จะลดการใช้ไฟฟ้าช่วงความต้องการสูงสุด หรือพีค ลงไปได้มาก