ข่าว

'ปุระชัย'เย้ย'วิชาชีพ'หรือแค่แหล่งหากิน

'ปุระชัย'เย้ย'วิชาชีพ'หรือแค่แหล่งหากิน

08 มี.ค. 2556

สกว.จัดการประชุมวิชาการ 'จริยธรรมในวิชาชีพ : วิกฤติหรือโอกาสในการพัฒนาสังคมไทย' 'ปุระชัย' เย้ยเป็นเพียงแหล่งทำมาหากินหรือช่วยเหลือสังคม

               8มีนาคม 2556  ศ.พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ รองอธิการบดีฝ่ายนโยบายและแผน มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการเรื่อง “จริยธรรมในวิชาชีพ : วิกฤติหรือโอกาสในการพัฒนาสังคมไทย” ครั้งที่ 2  ที่โรงแรมรอยัลริเวอร์ กทม.  จัดโดยชุดโครงการวิจัยจริยธรรมในวิชาชีพ ที่มี รศ. ดร.วริยา ชินวรรโณ คณบดีคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้ประสานงานโครงการ เพื่อนำเสนอผลการวิจัยให้ผู้ประกอบวิชาชีพต่าง ๆ จำนวน 11 วิชาชีพ ตลอดจนสาธารณชนรับทราบ เพื่อจะนำผลการวิจัยไปขยายผลในการแก้ไขปัญหาจริยธรรมของสังคมต่อไป

               รศ. ดร.วริยาระบุว่า ปัญหาที่สำคัญยิ่งประเด็นหนึ่งของสังคมไทยในปัจจุบัน คือ ปัญหาการประพฤติเบี่ยงเบนจากจริยธรรมของบุคคลในวิชาชีพต่าง ๆ ซึ่งจัดเป็นวิกฤติทางจริยธรรมและทำให้ภาพลักษณ์ของวิชาชีพเสียหายไม่มากก็น้อย ตลอดจนส่งผลกระทบต่อสังคมไทยโดยรวมด้วย เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศชาติจะไม่สามารถพัฒนาได้หากคนในประเทศไร้จริยธรรม จึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนในสังคมที่ต้องตระหนักและแสวงหาหนทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ตระหนักถึงปัญหานี้จึงให้การสนับสนุนทุนวิจัยแก่คณะวิจัยเรื่องจริยธรรมในวิชาชีพ

               ขณะที่รองอธิการบดีฝ่ายนโยบายและแผน มหาวิทยาลัยมหิดล หวังว่า ผลของการวิจัยจะนำไปสู่ความพยายามร่วมกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับจริยธรรมในสังคมอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น อีกทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงงานวิจัยรวมถึงแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับจริยธรรมในวิชาชีพต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืนสืบไป

               ในโอกาสนี้ ศ. ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรครักษ์สันติ และประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ปาฐกถานำเรื่อง “จริยธรรมในวิชาชีพ: วิกฤติหรือโอกาสในการพัฒนาสังคมไทย” โดยกล่าวว่าจริยธรรมและคุณธรรมที่ปลูกฝังเข้าไปในร่างกายเป็นเรื่องที่สอนได้และต้องสอนให้ถูกต้องกับวัยและวิธีการ เรื่องนี้มีความสำคัญมากจึงต้องเริ่มตั้งแต่เยาว์วัย

               นักวิชาชีพมักถูกคาดหวังให้เป็นแบบอย่างที่ดีงามทั้งในเรื่องส่วนตัวและในทางวิชาชีพ พื้นฐานสำคัญของคนทุกหมู่เหล่าต้องเป็นคนดี คิดดี พูดดี ทำดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง ดังนั้นก่อนที่บุคคลใดจะเป็นนักวิชาชีพจึงต้องมีความเป็นมนุษย์เป็นพื้นฐานก่อน ดังในทางพระพุทธศาสนาจะต้องประพฤติอยู่ในกรอบของศีล 5 การมีรากฐานที่มั่นคงในการเป็นมนุษย์จึงจำเป็นต้องพัฒนาบุคคลให้มีความรู้ ทักษะ มีจริยธรรมวิชาชีพให้ก้าวหน้า รากฐานความเป็นมนุษย์ของประเทศไทยค่อนข้างอ่อนแอ ต่อให้ประสบความสำเร็จในการก้าวสู่วิชาชีพก็จะนำไปสู่การพ่ายแพ้ต่อชีวิตได้

               นอกจากนี้ยังต้องมีวุฒิภาวะของชุมชนวิชาชีพ เพราะแต่ละอาชีพมีความเป็นผู้ใหญ่หรือก้าวหน้าทางวุฒิภาวะต่างกัน นักวิชาชีพจึงต้องมีอรรถวิสัยร่วมกันเพื่อใช้เป็นมาตรฐานในวิชาชีพ มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการประกอบวิชาชีพด้วยความสมัครใจและด้วยความดีงาม อีกทั้งสามารถควบคุมตนเองได้ จึงต้องเน้นการก่อให้เกิดคุณภาพของงานส่วนรวมเป็นสำคัญมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว และต้องใช้มาตรฐานจริยธรรมวิชาชีพเพื่อควบคุมตนเองเป็นลำดับแรก รวมทั้งมุ่งสนับสนุนเพื่อนร่วมวิชาชีพให้พัฒนาตนเองเพื่อเป็นที่ยอมรับเชื่อถือจากสาธารณชน จริยธรรมวิชาชีพจึงครอบคลุมถึงคำที่เป็นนามธรรม โดยเฉพาะ “ความซื่อสัตย์” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในทุกเรื่อง ถ้าขาดความซื่อสัตย์ก็จะเกิดความเสียหายอย่างมาก

               นอกจากนี้ยังต้องมี “การไม่ผิดทำนองคลองธรรม” ไม่หลอกลวงและยึดมั่นในตัวเอง รวมถึง “ความโปร่งใส” สามารถตรวจสอบได้ รักษาความลับได้ มีความเคารพนับถือและเคารพต่อกฎหมาย จึงต้องตระหนักเสมอว่านักวิชาชีพเป็นผู้มีความสามารถพิเศษในการที่จะนำความรู้ไปสู่การประกอบวิชาชีพที่สาธารณชนทั่วไปไม่อาจกระทำได้เพราะขาดทักษะ สิ่งสำคัญที่ต้องมีจริยธรรมในวิชาชีพ คือ กลุ่มมาตรฐานของความประพฤติที่พัฒนาขึ้นมาโดยกลุ่มวิชาชีพและนำมาสู่การประยุกต์ใช้ด้วยความสมัครใจ

               นอกจากนี้นักวิชาชีพยังต้องมีการศึกษาที่สูง เพราะเป็นกระบวนการสำคัญต่อการเข้าสู่วิชาชีพ ต้องมีความรู้ควบคู่กับความสามารถ จริยธรรม การปลูกฝังความมีวินัยในวิชาชีพ รวมถึงตรวจสอบตัวเองตลอดเวลา จึงเน้นย้ำให้นักวิชาชีพมีการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปเพื่อเป็นการยกระดับความรู้ความสามารถ ฝึกระดับสติปัญญาของบุคคลให้มีองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อความรอบรู้ และวิชาชีพไม่ต้องพึ่งกระบวนการยุติธรรม เป็นอิสระต่อกัน

               แต่ทุกวันนี้วิชาชีพของไทยส่วนใหญ่ต้องมีกระบวนการยุติธรรม การทบทวนและการตรวจสอบโดยบุคคลและกลุ่มบุคคลร่วมที่มีขีดความสามารถในวิชาชีพเดียวกันจึงเป็นรูปแบบหนึ่งของความเข้มงวดกวดขันเพื่อรักษามาตรฐานการประกอบวิชาชีพ ปรับปรุงพัฒนาการประกอบวิชาชีพ รับรองคุณวุฒิของการประกอบวิชาชีพ ค้นหาจุดอ่อนและจุดบกพร่อง ป้องกันและแก้ปัญหาการประพฤติผิดในวิชาชีพ ที่สำคัญคือเป็นหลักประกันในวิชาชีพของผู้ดำเนินการ ซึ่งผู้ทบทวนและตรวจสอบจะต้องมีคุณสมบัติสำคัญ คือ ความเป็นอิสระ ไม่มีใครบงการได้ ปลอดจากผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นนิรนาม เป็นกลาง และทันต่อเวลา ยิ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงยิ่งต้องเสียสละ ระมัดระวังมิให้ความลับของราชการเปิดเผยเพื่อผลประโยชนของผู้ใดโดยเกิดไม่เป็นธรรม

               “การดำเนินงานของนักวิชาชีพจึงเกี่ยวข้องกับการมุ่งบังคับใช้จรรยาบรรณโดยผู้ร่วมวิชาชีพเพื่อป้องกันการเอาเปรียบต่อผู้รับบริการ จริยธรรมในวิชาชีพของไทยจะเป็นวิกฤติหรือเป็นโอกาสขึ้นอยู่กับนักวิชาชีพในแต่ละสาขาว่าจะตอบคำถามเหล่านี้อย่างไร เช่น เราจะต้องช่วยกันทำความจริงให้ปรากฏ หรือปกปิดความจริงเพื่อรักษาหน้า จะเห็นแก่พวกพ้องในระยะสั้นหรือเกียรติยศศักดิ์ศรีในระยะยาว จะทำงานเชิงรุกในการตรวจสอบและคัดสรรนักวิชาชีพออกจากพวกปอกลอกจอมปลอมหรือจะรอให้การตรวจสอบเป็นเพียงหน้าที่ของกระบวนการทางอาญาเท่านั้น และจะยึดถือวิชาชีพเป็นเพียงแหล่งทำมาหากินได้ผลประโยชน์หรือสนับสนุนให้วิชาชีพมุ่งรับใช้มวลมนุษยชาติและเสียสละเพื่ออุดมการณ์ของวิชาชีพ อนาคตในวันข้างหน้าจึงขึ้นกับปัจจุบัน เราต้องเริ่มวางทิศทางความมุ่งมั่นในการประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามแนวทางจริยธรรมวิชาชีพ เราจะเลือกวิกฤติหรือโอกาสย่อมต้องอาศัยการมีส่วนร่วมและการตัดสินใจของนักวิชาชีพ” ศ. ดร.ปุระชัยกล่าวสรุป

               ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมครั้งนี้มีการนำเสนอผลงานวิจัยวิชาชีพต่างๆ เช่น นักกฎหมาย นักการเมือง นักธุรกิจ ครู สื่อมวลชน แพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจริยธรรมนักการเมืองนั้น ผลงานวิจัยระบุไม่สามารถที่จะดำเนินการกับนักการเมืองที่ละเมิดจริยธรรมได้เลย

              ขณะเดียวกันมีการนำเสนอผลงานวิจัยเกี่ยวกับจริยธรรมในสื่อมวลชน โดยมีการตั้งคำถามว่าสื่อมวลชนเป็นวิชาชีพหรือเพียงอาชีพเท่านั้น พร้อมกับสรุปว่า สื่อไม่จริงจังในการควบคุมจริยธรรมกันเอง