
เกาะปีกนางพญา'ร้านอาหารไทยบัวขาว'สู่'อิสตันบูล'
เกาะปีกนางพญา'ร้านอาหารไทยบัวขาว'สู่'อิสตันบูล' : โดย...ดลหมาน ณ ไคโร
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่หญิงไทยจะสร้างชื่อเสียงและสร้างความเชื่อถือให้แก่คนไทย รวมถึงชาวต่างชาติ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากหากมีความมุ่งมั่นไม่ท้อถอยต่ออุปสรรคนานัปการ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์เดือนแห่งความรัก ผมเองแม้จะไม่มีรักฉันชู้สาวแต่ก็สมหวังในรักแบบพี่น้องในฐานะที่เป็นคนไทยด้วยกัน เพราะได้ติดปีกบินไปกับคุณยุพดี สวามิวัสดุ์ หรือพี่ต้อย และคุณนพวรรณ ณ นคร หรือพี่นพ สองนางพญาแห่งร้านอาหารบัวขาว ร้านอาหารไทยในแดนสฟิงซ์อียิปต์ ไกลถึงประเทศตุรกี เพื่อแวะชมร้านอาหารไทยของหญิงเหล็กทั้งสองคนที่มาขยายกิจการในประเทศนี้ตามคำเชิญชวนของหญิงชาวตุรกีผู้หนึ่ง ซึ่งหลงรักในรสชาติอาหาร และความเป็นสตรีไทยระหว่างที่เดินทางมาชิมอาหารที่ร้านบัวขาวในอียิปต์ โอ้...อะไรหนอที่ทำให้เธอมั่นใจในความเป็นไทยถึงขนาดนี้
รถของสถานเอกอัครราชทูตไทยมารอรับที่สนามบินในกรุงอังการาอยู่ก่อนแล้ว โดยมีนายอาดัม ชาวตุรกีที่ทำงานอยู่ในสถานเอกอัครราชทูต มาอำนวยความสะดวก เมื่อจัดการเรื่องกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อย ก็มุ่งตรงสู่โรงแรมที่พักในทันที ผมเองตื่นเต้นอยากเห็นประเทศนี้ว่าเป็นอย่างไร เชื่อไหมว่า ตลอดระยะทางจากสนามบินถึงโรงแรม Kosa เหมือนกับกำลังดูภาพวาดของจิตรกรฝีมือดี ที่บรรเลงวาดภาพพร้อมกับระบายสีบนท้องฟ้าให้ออกมาเป็นบ้านหลังเล็กๆ ดูแล้วอบอุ่นอยู่บนภูเขาที่เขียวชอุ่ม มีถนนเล็กๆ ให้รถผ่าน เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปมาอย่างสวยงาม สองข้างถนนใหญ่มีต้นไม้เรียงรายเป็นแถวแม้จะไม่มีใบ แต่ก็คงความสวยงามในแบบฉบับคนเหงาๆ สองข้างทางเป็นบ้านหลังเล็กๆ หรือตึกขนาดใหญ่อยู่บนภูเขาสีเขียว ตัวของอาคารส่วนใหญ่จะเป็นสีส้ม ช่วงนั้นท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ทำให้เห็นบ้านเด่นชัดอยู่บนยอดเขา สวยงามเกินจะบรรยายจริงๆ
เมื่อมาถึงโรงแรมที่พักก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ทันที่ที่เปิดประตูห้องเข้าไป ผมถึงกับร้องว้าว เพราะเมื่อเปิดม่านออกไป จะเห็นบ้านสีส้มบนยอดเขาสวยงามจริงๆ ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่กรุงอังการา ผมมีความสุขกับการได้เดินเล่นริมถนน ทุกสถานที่สะอาดสะอ้าน ต้นไม้โกร๋นๆ มีแต่กิ่งก้าน ไม่มีใบ แต่ไม่ว่าจะกดชัตเตอร์กี่ครั้ง หรือถ่ายที่ไหนจะออกมาสวยงามทุกภาพจริงๆ หลังจากเสร็จสิ้นการเป็นวิทยากรในการสัมมนานักศึกษาไทยในตุรกี ซึ่งผมได้รับเชิญจากสถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงอังการา มาบรรยายให้น้องๆ นักศึกษาไทยที่นั่น จากนั้น ก็มีการทำกิจกรรมสามัคคีกับน้องๆ นักศึกษาโดยการเล่นโบว์ลิ่ง และรับประทานอาหารร่วมกันแบบเบาๆ
ผมสังเกตเห็นว่าชาวตุรกี มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยจริงๆ สถานที่ทุกแห่งรวมทั้งลานจอดรถดูสะอาดเป็นระเบียบ และไม่มีเสียงบีบแตรรถให้รำคาญแต่อย่างใด การพูดจาดูเหมือนจะมีความเกรงใจคนอื่นอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ไม่เคยลดความมั่นใจตัวเองลง หลังจากนั้น ผมก็เดินทางไปยังหลุมฝังศพและเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ซึ่งยังคงเก็บของเก่าๆ ผู้ปกครองเมืองไว้อย่างดี ก่อนจะรีบกลับมาสวัสดีและอำลานายรัฐกิจ มานะทัต เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอังการา ผู้ซึ่งมากด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา รวมทั้งขอบคุณข้าราชการทุกท่านที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น เหมือนไม่ได้อยู่ในต่างแดนเลยจริงๆ
หลังจากนั้นผมก็รีบบินไปยังเมืองอิสตันบูล เมืองท่องเที่ยวที่เล่าลือกันนักหนาว่า สะอาด สง่า สวยงามแบบฉบับยุโรปแต่เป็นยุโรปแบบมุสลิม และก็เป็นจริงดั่งคาด เมื่อเครื่องบินร่อนลงจอดที่สนามบินอิสตันบูลเวลาประมาณ 1 ทุ่ม ผมขอยอมรับว่าชาวตุรกีเป็นคนที่มีโครงหน้า หน้าตา ผิว รูปร่าง สวย หล่อกันทุกคนจริงๆ รูปร่างบางๆ สูงโปร่งทั้งหญิงชาย หน้าตาคมคายโดยเฉพาะแววตาช่างเจ้าชู้ ดูแล้วแอบหวั่นใจเล็กน้อย แต่นั่นก็คือรูปลักษณ์ที่ทำให้ประเทศนี้ดูมีเอกลักษณ์ยิ่งนัก ไม่เชิงฝรั่งเกินจนดูเป็นผู้ไร้ซึ่งอารมณ์ ผิวขาว คิ้วดำ จมูกโด่งเป็นสันเรียวงาม ให้ตายซิ..ละลายเลยหัวใจฉัน
จะว่าไปแล้วประเทศตุรกีเป็นประเทศที่สวยงาม สะอาด โดยเฉพาะผู้คนในประเทศแห่งนี้ มีความเงียบ มีรอยยิ้มแต่มักจะเป็นคนนิ่งๆ เสียส่วนใหญ่ เหมือนจะเป็นการให้เกียรติแขกบ้านแขกเมืองหรือผู้คนที่เดินทางมายังประเทศแห่งนี้ เริ่มตั้งแต่ลงจากเครื่อง พนักงานที่เคาน์เตอร์ จนถึงพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำ ทุกคนต่างมีรอยยิ้ม สร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้อย่างน่าทึ่ง ไม่มีสีหน้าให้น่ารำคาญ
พี่ต้อยและพี่นพมารับที่สนามบินพร้อมๆ กับสาวตุรกีหัวใจไทย ซึ่งทำเอาผมอึ้งกับการสวัสดีที่สวยงาม รอยยิ้มหวาน และเป็นความสวยงามที่ผสมผสานเหมือนเอาสาวฝรั่งมาฝึกนิสัยไทย ยิ่งเพิ่มความอ่อนหวานที่มีความสวยอยู่แล้วในตัว เธอชื่อ คุณนาวัล งานเข้าผมทันทีเพราะผู้หญิงคนนี้คือเพื่อนสนิทของสองนางพญาแห่งร้านอาหารไทยบัวขาวและเป็นหนึ่งผู้เสนอให้ร้านอาหารบัวขาวได้มาเปิดในประเทศตุรกี...เพียงเพราะเธอเล่าว่าเธอชอบผู้หญิงไทยที่มีความเก่ง มีความเด็ดเดี่ยว อดทนและจริงใจ เหมือนกับที่ฉันเห็นรอยยิ้มแรกจากพี่ต้อย จึงเป็นที่มาของ “ร้านอาหารไทยบัวขาว” หรือชื่อในประเทศตุรกี “Pera Thai Kitchen of Bua Khao” เติบใหญ่ในเมือง “อิสตันบูล”
คนขับรถจอดรถที่หน้าร้าน Peymanee ซึ่งเป็นร้านอาหารพื้นเมืองตุรกีขนานแท้ของคุณนาวัลเอง มื้อนี้เป็นการต้อนรับสู่ดินแดนแห่งสองทวีป ดินแดนแห่งความสวยงามด้วยมรดกโลกและสิ่งมหัศจรรย์ที่โลกได้จารึกไว้ รวมไปถึงร่องรอยแห่งอารยธรรมโบราณซึ่งมีความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ ผมไม่ทันยิงคำถามแต่คุณนาวัลกลับอธิบายอย่างสมบูรณ์แม้เป็นประโยคสั้นๆ สำหรับประเทศตุรกีแห่งนี้ อาหารมื้อนี้เป็นอาหารเบาๆ เนื้อลูกวัวย่าง สลัดผักแต่ใส่เมล็ดทับทิมและชีส มีรสชาติอร่อยไปอีกแบบ พร้อมๆ กับถั่วบด ชีสชนิดต่างๆ ที่มาในรูปแบบที่สวยงาม ดูแล้วเหมือนกับการเตรียมระบายสีจากถ้วยใส่สีประมาณนั้นเพราะมีทั้งสีขาว สีชมพู สีเขียวอ่อน ดูแล้วแปลกตาและอร่อยไปอีกแบบ โดยเฉพาะเนื้อลูกวัวย่างร้านคุณนาวัล อร่อย หอมน่ากินจริงๆ และยิ่งอร่อยมากขึ้นเมื่อคุณนาวัลแนะว่า ต้องกินกับพริกหยวกเผาร้อนๆ ทำให้รสชาติเข้มข้นอย่างน่าอัศจรรย์
หลังอาหารค่ำท่ามกลางแสงเทียนแล้ว ก็กลับไปเช็คอินที่โรงแรม Life is life ซึ่งคุณนาวัลและพี่ต้อยจัดการให้เป็นที่เรียบร้อย ขอบอกเลยว่าแทบไม่ต้องยืนให้เสียเวลา แม้คนจะเยอะ เพราะการทำงานบริการแบบฉบับมืออาชีพ พนักงานพูดไม่มาก ยิ้มตลอดเวลา นักท่องเที่ยวปลื้มกันมากมองด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าประทับใจในการบริการของโรงแรมนี้ ห้องนอนแสนสบายกะทัดรัดมีไอแพดพร้อมอินเทอร์เน็ตไว้บริการเป็นอย่างดี ค่ำคืนนี้แม้จะอยู่เพียงลำพัง แต่ผมกลับรู้สึกไม่เหงาเลยเมื่อนึกถึงรอยยิ้มของคนประเทศนี้ และไมตรีจิตที่ดีเหลือเกิน
ตื่นเช้าวันใหม่หลังจากจัดการอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว คุณนาวัล และน้องสาว ชื่อลาเล่ มารับที่โรงแรมแต่เช้า พร้อมกับยกมือไหว้อย่างสวยงามทันทีที่เจอกัน คุณลาเล่แนะนำตัวว่าวันนี้ขอเป็นไกด์นำเที่ยวสักวันพร้อมๆ กับการตะลุยไปยังสถานที่ที่ผมได้รับคำฝากจากแฟนๆ คอลัมน์ว่า หากมายังประเทศตุรกีก็ต้องมาเยือนมัสยิดสีฟ้าและวิหารเซนต์โซเฟีย ซึ่งผมเองไม่ค่อยรู้ประวัติมากมายนัก ต้องพึ่งพาคุณลาเล่ เจ้าถิ่นที่มีความสันทัดในเรื่องนี้ที่เล่าให้ฟังคร่าวๆ บนรถระหว่างข้ามสะพานไปอีกฝั่ง จากร้านอาหารไทยบัวขาวไปถึงมัสยิดสีเขียวใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็ถึงที่หมาย การนั่งรถในประเทศนี้เหมือนกับลอยไปในแม่น้ำ ไม่มีการติดขัด หรือรถติดให้ปวดหัว คนที่ลงจากรถต่างพยายามทำเวลาให้เร็วเพราะเกรงใจรถคันหลัง โอ้ ผมนึกถึงอียิปต์ทันที ขนาดผู้โดยสารเต็มคันรถ หากบังเอิญคนขับเจอเพื่อน ก็จอดรถทิ้งให้ผู้โดยสารนั่งรอโดยไม่เกรงใจว่ารถจะติด หรือคนจะรอ ขอแค่ฉันคุยธุระฉันก่อน นี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถอียิปต์ติดยาวเป็นรถไฟซะงั้น...
โอ้...ผมอุทานอย่างไม่อายชาวบ้านระหว่างเข้าไปชมมัสยิดสีฟ้า นี่มันยุโรปชัดๆ ทั้งอากาศ การแต่งกายของผู้คน และต้นไม้โกร๋นๆ ปราศจากใบ สร้างความสวยงามให้เห็นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ผมไม่รอรีเป็นนายแบบอย่างไม่อายชาวบ้าน เมื่อเดินมาถึงลานกว้าง ผมถึงกับนึกถึงความฝันเมื่ออดีตที่ว่าอยากไปเมืองนอก คำว่าเมืองนอก ต้องแบบนี้ ไม่ใช่แบบอียิปต์...นี่คือความคิดในแวบแรกที่ผมรู้สึก สถานที่สะอาด ทุกสถานที่ดูยิ่งใหญ่โดยเฉพาะมัสยิดสีฟ้า ที่ใครๆ ต่างฝันจะมาเมื่อมาถึงอียิปต์
คุณลาเล่ คงรู้ว่าผมประทับใจ จึงอาสาเป็นตากล้องให้ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พี่นพเป็นตากล้องจำเป็น คุณลาเล่เล่าว่า ประเทศตุรกีมี 4 ฤดูกาล ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ (เดือนเมษายน-พฤษภาคม) ฤดูร้อน (เดือนมิถุนายน-กันยายน) ฤดูใบไม้ร่วง (เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน) และฤดูหนาว (เดือนธันวาคม-มีนาคม) ดังนั้นก่อนมาเที่ยวก็ต้องดูว่าตัวเองชอบแบบไหนเป็นอันดับแรก และสิ่งที่เธอมองอยู่เขาเรียกกันว่ามัสยิดสีฟ้า ซึ่งมีประวัติความเป็นมาว่าเพราะต้องการชนะ ต้องการความยิ่งใหญ่เท่านั้นเอง
มัสยิดสุลต่านอะหมัด หรือสุเหร่าสีฟ้า เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองอิสตันบูล สร้างอย่างใหญ่โตในช่วงปี ค.ศ. 1609-1616 เพียงเพื่อต้องการเอาชนะ “วิหารเซนต์โซเฟีย” ของคริสต์ เพราะแต่เดิมนั้น วิหารเซนต์โซเฟียได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ทำให้สุลต่านแห่งออตโตมันหลายพระองค์ในหลายยุคสมัยต่างต้องการสร้างมัสยิดขนาดใหญ่ให้เทียบเท่าหรือใหญ่กว่าวิหารเซนต์โซเฟีย แต่ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จจนมาถึงในสมัยสุลต่านอาห์เมตที่ 1 เมห์เมต อาอา (Mehmet) สถาปนิกผู้สร้างสรรค์มัสยิดแห่งนี้ ต้องการแสดงให้โลกรู้ว่าตัวเองมีความสามารถเหนืออาจารย์และสถาปนิกผู้ออกแบบวิหารเซนต์โซเฟีย จึงบรรจงออกแบบจนอลังการ
เหตุที่ผู้คนเรียกมัสยิดสุลต่านอาห์เมตที่ 1 ว่า บลูมอสก์หรือมัสยิดสีฟ้า เนื่องมาจากสีของกระเบื้องอิซนิคบนกำแพงชั้นในที่มีสีฟ้าสดใส ลายดอกไม้ต่างๆ เช่น กุหลาบ ทิวลิป คาร์เนชั่น แค่สั้นๆ ที่ลาเล่เล่าให้ฟัง ผมก็พอจะนึกเรื่องราวได้ ผมกวาดตามองทั้งมัสยิดสีฟ้าและเซนต์โซเฟีย ซึ่งอยู่กันไม่ไกลนัก มีต้นไม้กั้นกลางไม่กี่ต้น ทำให้เห็นอาคารกันได้อย่างชัดเจน
ขณะที่นั่งคุยกันอยู่นั้น ผมออกปากถามคุณนาวัลว่า ทำไมเธอถึงตกลงใจให้ร้านอาหารไทยอย่างบัวขาวมาเปิดร้านไทยในตุรกี คำตอบสั้นๆ ด้วยแววตาชัดเจนว่า “ฉันชอบที่ผู้หญิงไทยคนนี้ตรงไปตรงมา มีรอยยิ้มที่ฉันสัมผัสได้ ที่สำคัญทำให้ฉันเชื่อใจเขา นี่คือจุดตั้งต้นของมิตรภาพที่ดีของเราสองคน หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มรักอาหารไทย เพราะเขามีกระบวนการทำที่ละเอียดและมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์แบบไทย ทำให้ฉันมั่นใจเลยว่าคนตุรกีเองต่อไปก็ต้องชอบอาหารไทยเหมือนที่ฉันชอบ และคงชอบคนไทยด้วยเช่นกัน"
ผมหันไปมองพี่นพ กับพี่ต้อย สองสาวนางพญาแห่งร้านอาหารไทยบัวขาว ซึ่งวันนี้ได้มาอยู่ในประเทศตุรกีพร้อมกับผมและคำตอบที่ผมได้ยินจากคุณนาวัล สรุปแล้วผู้หญิงไทยเราก็เก่งระดับแนวหน้าได้ในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการทำอาหารแม้จะดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ถ้าไม่ใส่ใจหรือพิถีพิถันเรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับมัสยิดที่ผมมองเห็นอยู่นี่ คนเราเกิดมาก็ต้องอยู่กับการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น ต้องการความเป็นหนึ่งด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเราไม่แข่งกับคนอื่นเราก็ยังต้องแข่งกับตัวเราใช่ไหม
การเกาะปีกนางพญาบัวขาวมายังประเทศตุรกี นอกเหนือจากสถานที่สวยงามที่เห็นนี้แล้ว ผมยังได้สัมผัสคำกับว่า “ยุโรป” เป็นอย่างไร และยังเข้าใจข้าราชการไทยหลายๆ คนที่ชอบพูดบ่นว่าอียิปต์เป็นประเทศที่ด้อยการพัฒนาและคงพัฒนาไม่ขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าเทียบกับประเทศมุสลิมอื่นๆ เมื่อก่อนผมเคืองใครพูดแบบนี้ แต่หลังจากกลับมาจากตุรกี ผมเริ่มจะผ่อนคลายและหายจากการยึดติดที่คิดว่าดีแล้ว นี่คือผลกำไรของการเดินทาง ยิ่งเดินทางท่องโลกกว้างมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งฉลาดและมีความคิดไกลเท่านั้น ถ้าการเดินทางนั้นเดินอย่างมีสติ...
การเกาะปีกมาครั้งนี้ถือเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สัมผัสได้ด้วยตัวเองจริงๆ และอยากเชิญชวนทุกคนไม่ว่าศาสนาใดในโลกให้มาลองสัมผัส ลองเดินในประเทศนี้โดยเฉพาะในเมืองอิสตันบูลแล้วท่านอาจจะหลงรักมุสลิมในประเทศตุรกีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ
.......................................
(หมายเหตุ เกาะปีกนางพญา'ร้านอาหารไทยบัวขาว'สู่'อิสตันบูล' : โดย...ดลหมาน ณ ไคโร)