
ฮือฮา!ตั้ง'พระพายัพ'เป็นพระครูปลัด
ฮือฮา!'พระพายัพ'ได้รับการแต่งตั้งเป็น'พระครูปลัด' ด้าน'พศ.'ติงไม่เหมาะสม คุณสมบัติไม่ถึง วอนสมเด็จพระธีรญาณมุนีแจงเหตุผล
18 ก.พ.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่วัดป่าพุทธคยา ประเทศอินเดียโดยได้รับฉายาว่า พระพายัพ เขมคุโณ และมีกำหนดลาสิกขาในวันที่ 11 มี.ค.นี้
ทั้งนี้ พระพายัพได้รับ การแต่งตั้งจาก สมเด็จพระธีรญาณมุนี เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ให้เป็นพระฐานานุกรมในตำแหน่ง
"พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์" ภายหลังจากการอุปสมบท อย่างไรก็ตามการแต่งตั้งดังกล่าวได้สร้างความฮือฮาและวิพากษ์วิจารณ์ในวงการสงฆ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากตามธรรมเนียมปฏิบัติพระสงฆ์ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมนั้นจะต้องผ่านการอุปสมบทมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 พรรษา
อนึ่ง ฐานานุกรม คือชื่อเรียกลำดับตำแหน่งสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ไทย ซึ่งภิกษุผู้มีตำแหน่งทางการปกครองหรือมีสมณศักดิ์สูงบางตำแหน่งมีสิทธิตั้งพระรูปอื่นให้เป็นฐานากรมได้ตามศักดิ์ที่ได้รับพระบรมราชานุญาต เช่น พระสงฆ์ตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอ สามารถตั้งฐานานุกรมได้ 3 ตำแหน่ง พระราชาคณะชั้นสามัญตั้งฐานานุกรมได้ 3 ตำแหน่ง เป็นต้น ไปจนกระทั่งถึงสมเด็จพระสังฆราชทรงตั้งฐานานุกรมได้ 15 ตำแหน่ง
ฐานานุกรมนั้นมีตำแหน่งที่เป็นหลัก3 ตำแหน่ง คือ พระปลัด พระสมุห์ พระใบฎีกา หากพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ที่มีสิทธิ์ตั้งฐานานุกรมเป็นผู้ที่มีสมณศักดิ์ตั้งแต่พระราชาคณะชั้นราชขึ้นไป พระฐานานุกรมที่ท่านเหล่านั้นตั้ง จะเรียก "พระครู" นำหน้าตำแหน่งฐานานุกรมนั้นทุกตำแหน่ง เช่น พระครูปลัด พระครูสังฆรักษ์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ภิกษุผู้ได้รับแต่งตั้งในลักษณะนี้เรียกว่า พระฐานานุกรม ทุกรูปจัดเป็นพระมีสมณศักดิ์เหมือนพระสมณศักดิ์ที่ทรงแต่งตั้ง พระในตำแหน่งเหล่านี้บางทีเรียกประทวนสัญญาบัตร บ้าง ฐานาประทวน บ้าง และเนื่องจากสมณศักดิ์เหล่านี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้พระราชทานเอง ดังนั้นเมื่อพระสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์ที่ได้ตั้งฐานานุกรมไว้มรณภาพ ตำแหน่งฐานานุกรมต่างๆ ก็ถือว่าเป็นอันสิ้นสุดไปด้วย เรียกกันในภาษาปากว่า พระครูม่าย หรือ ฐานาม่าย จนกว่าจะได้รับแต่งตั้งฐานานุกรมใหม่
พศ.ติงตั้งไม่เหมาะสมคุณสมบัติไม่ถึง
แหล่งข่าวระดับสูงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยว่า การแต่งตั้งพระพายัพเป็นพระฐานานุกรมในตำแหน่งพระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม แม้ว่าในความเป็นจริงพระที่มีสมณศักดิ์สูงอย่าง เช่น สมเด็จพระราชาคณะหรือรองสมเด็จฯ สามารถแต่งตั้งพระฐานานุกรมหรือที่เรียกว่า พระครูปลัดเองได้ก็ตาม แต่การแต่งตั้งแต่ละครั้งต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมและคุณสมบัติด้วย ดังนั้นกรณีการแต่งตั้งดังกล่าวจึงถือว่าไม่เหมาะสมจริงๆ เพราะเท่าที่ทราบพระพายัพ เขมะคุโณ บวชยังไม่ถึงพรรษา หากดูที่คุณสมบัติก็ยังไม่รู้ว่าได้ทำคุณประโยชน์อะไรให้พระพุทธศาสนาบ้าง และมีความรู้เหมาะสมกับตำแหน่งที่จะแต่งตั้งหรือไม่
“จึงไม่แปลกที่การแต่งตั้งครั้งนี้จึงทำให้คนมองว่า พระผู้ใหญ่ทำไปโดยไม่คิดถึงผลกระทบที่ตามมาและมีนัยยะทางการเมือง ผลร้ายที่สุดที่ตามมาก็คือ จะไปกระทบถึงตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพราะคนก็จะนำประเด็นไปใช้โจมตีในทางการเมือง ซ้ำร้ายอาจจะมองวงการสงฆ์ในแง่ร้ายว่าพระเป็นสีนั้นสีนี้ก็เป็นได้ กรณีนี้ต้องรอให้สมเด็จพระธีรญาณมุนี ออกมาชี้แจงและแก้ไขเอง ซึ่งจะเดินกลับจากอินเดียวันที่ 23 กุมภาพันธ์” แหล่งข่าวระดับสูง พศ. กล่าว
ด้านนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการ พศ. กล่าวว่า การแต่งตั้งพระฐานานุกรมอยู่ในการวินิจฉัยของเจ้าคณะปกครองที่มีอำนาจโดยตรง ซึ่งขณะนี้สมเด็จพระธีรญาณมุนี ยังอยู่ระหว่างการเดินทางไปต่างประเทศคงต้องรอให้ท่านกลับมาเพื่อขอความชัดเจนเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามการแต่งตั้งพระฐานานุกรมตามหลักการแล้ว ฐานานุกรมคือ สมณฐานันดร ที่แต่งตั้งโดยพระบรมราชานุญาติ หรือโดยพระบรมราชโองการ โปรดพระราชทานให้พระสงฆ์ผู้ดำรงสมณฐานันดรศักดิ์ ตั้งแต่พระราชาคณะชั้นสามัญขึ้นไป หรือที่มีตำแหน่งในทางปกครองคณะสงฆ์แล้วแต่กรณีให้มีศักดิ์ และสิทธิในการแต่งตั้งพระฐานานุกรม เพื่อทำหน้าที่เป็นคณะทำงานหรือเลขานุการพระสงฆ์ผู้แต่งตั้ง
"ส่วนจำนวนมากหรือน้อยตามแต่อิสริยศที่ได้รับพระราชทานหรือตามตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้ง ซึ่งถือว่าพระมหากษัตริย์ ได้พระราชทานความไว้วางพระราชหฤทัย ให้พระสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์เป็นผู้พิจารณาคัดเลือกพระสงฆ์ที่มีความมั่นคงในสมณปฏิบัติ มีศีลาจารวัตรเป็นที่น่าศรัทธาเลื่อมใสมาแต่งตั้งให้ดำรงพระฐานานุกรม โดยการแต่งตั้งพระฐานานุกรมไม่มีหลักเกณฑ์ปฏิบัติ เพราะฉะนั้นการที่จะได้ตั้งผู้ใดให้มาดำรงตำแหน่งฐานานุกรมในตำแหน่งต่างๆ นั้น อยู่ที่ดุลพินิจของที่จะแต่งตั้ง สำหรับจำนวนการแต่งตั้งพระฐานานุกรมนั้น ประกอบไปด้วย 1. สมเด็จพระราชาคณะ ตั้งพระฐานานุกรมได้ 10 รูป 2.รองสมเด็จพระราชาคณะ ตั้งได้ 8 รูป 3.พระราชาคณะ ชั้นธรรม ตั้งได้ 6 รูป 4.พระราชาคณะ ชั้นเทพ ตั้งได้ 5 รูป 5.พระราชาคณะ ชั้น ราช ตั้งได้ 4 รูป และ 6.พระราชาคณะชั้นสามัญ ตั้งได้ 3 รูป" นายนพรัตน์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา สมเด็จพระธีรญาณมุนี พร้อมด้วยคณะญาติโยม ได้เดินทางไปทอดผ้าป่าสามัคคีในการจัดสร้างอาคารเรียนที่มหาวิทยาลัยบีเอ็นเอช ที่เมืองพาราณสี อินเดีย มีผู้ร่วมทำบุญครั้งนี้ถึง 9 ล้านบาท ซึ่งการเดินทางครั้งนี้สมเด็จพระธีรญาณมุนี เดินทางมาตามโครงการบวชและเดินทางมาสักการะสังเวชนียสถานในประเทศอินเดีย