
เมื่อชาวเกาะ(ภูเก็ต)เกิดอาการผวารัสเซีย
เมื่อชาวเกาะ(ภูเก็ต)เกิดอาการผวารัสเซีย : แลกคนละหมัด โดยชินสัคค สุวรรณอัจฉริย [email protected]
อารมณ์ความรู้สึกของความพ่ายแพ้จากการแข่งขันนั้นจะมีความต่างกันในแต่ละวัฒนธรรมของแต่ละที่ ไม่เว้นแม้กระทั่งชาวภูเก็ตที่ทำธุรกิจการท่องเที่ยวซึ่งกำลังประสบกับเหตุการณ์ถูกยึดครองพื้นที่จากชาวรัสเซียที่มีอาการแสดงออกมาแบบ Russian business get out ซึ่งเมื่อดูแล้วก็แรงมากสำหรับข้อเรียกร้องหลักของผู้ชุมนุม เนื่องจากพวกเขาต้องการให้ธุรกิจของชาวรัสเซียออกไปจากพื้นที่ทั้งหมด โดยมีเหตุผลสั้นๆ คือ “รัสเซียเปิดกิจการแย่งอาชีพคนท้องถิ่น” และยืนยันว่าหากไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจังจะชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ต่อไป ซึ่งค่อนข้างสวนกระแสโลกในการบูรณาการทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน เพราะธุรกิจที่ดำเนินการอยู่นั้นไม่ได้ผิดกฎหมายและการเข้ามาในประเทศไทยของเขาก็ถูกกฎหมาย ซึ่งต่างจากโรฮิงญาที่ล่องเรือมาและมีการค้ามนุษย์ร่วมกัน นั่นคืออารมณ์และความคิดแบบแต๋วแตก
เพราะเราต้องยอมรับความจริงว่า เกาะต่างๆ ในประเทศคือเป้าหมายของภูมิการเมืองของประเทศขั้วโลกเหนืออย่างรัสเซีย และหากดูตัวอย่างชาวเกาะในกรณีของนกเป็ดน้ำที่มาจากไซบีเรีย ซึ่งเข้ามาหากินอาหารที่สุพรรณบุรีจนถึงเกาะยอ-สงขลานั้น สะท้อนให้เห็นว่าเกิดการอพยพมานานแล้ว และนกเอี้ยงหรือนกกระสา ก็ไม่ได้โวยวายแต่อย่างใด เพราะนั่นเป็นไปตามฤดูกาล
ชาวรัสเซียที่เข้ามานั้น จะมาในรูปของการทำงานแบบนอมินีหรือไม่ ถามว่ามีความผิดหรือเปล่า? คำตอบคือ “ไม่ผิด” เพราะที่หาดใหญ่ชาวมาเลย์ก็ทำแบบนี้กันเยอะ คือ ร่วมมือกับคนไทย อย่างเช่น ธุรกิจการขนส่งโลจิสติกส์ระหว่างชายแดน ข้อเรียกร้องของชาวเกาะนั้นฟังไม่ขึ้น อีกทั้งในเชิงจิตวิทยาถ้าหากเราไปท่องเที่ยวในรัสเซีย เราก็อยากจะมีไกด์เป็นคนไทยมากกว่าไกด์รัสเซีย
นอกจากจะให้ความเป็นกันเองแล้ว ยังทำให้การพูดคุยมีความเข้าใจง่ายกว่าในทางอารมณ์และความรู้สึก การแข่งขันในตลาดที่ชาวเกาะไม่สามารถสู้ได้นั้น คือประเด็นของปัญหามากกว่าการออกมาเดินขบวนประท้วงชาวรัสเซีย เพราะอย่าลืมว่า ชาวรัสเซียตอนนี้ในภาคใต้คือ เบอร์ 1 ในธุรกิจการท่องเที่ยว “เขาเป็นเทพตัวจริง”
ปัญหาคือ มหาวิทยาลัยในเกาะภูเก็ตที่มีอยู่ 2 มหาวิทยาลัยกำลังทำอะไรอยู่? ซึ่งอาจารย์บางท่านก็เคยเสนอให้เปิดสาขาภาษารัสเซียสำหรับการท่องเที่ยว และจัดสำนักงานเพื่อให้การปรึกษาด้านธุรกิจการท่องเที่ยวแก่ชาวรัสเซีย แต่ก็ได้มีการอ้างถึงปัญหาหลายอย่างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษาอังกฤษที่มีความสำคัญซึ่งต้องรู้ก่อน แต่อยากจะพูดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวนั้น น่าจะเป็นตัวกำหนดภาษามากกว่า เพราะเมื่อจ่ายเงินแล้วต้องมาพูดภาษาอังกฤษทำไม? นั่นคืออาการป่วยของบางมหาวิทยาลัยที่ไม่ค้นพบตนเองในแง่ของวิทยาการกับการพัฒนาธุรกิจจังหวัด
นอกจากนั้นหน่วยงานวิจัยบางหน่วยงานในระดับชาติที่ให้การอุดหนุนการวิจัยในเรื่องจิปาถะ อาจารย์บางท่านก็เคยเสนอโครงการวิจัยในการพัฒนาธุรกิจกับชาวรัสเซียของภาคใต้ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธการสนับสนุน โดยอธิบายเพียงเหตุผลที่เกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืน คำถามคือท่าน ผอ. ท่านจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร? หน่วยงานที่อ้างว่ามีความรู้นั้นไม่สามารถที่จะแสดงศักยภาพของตนเองออกมาได้ในช่วงวิกฤติกับการพูดภาษาอะไรมากมายที่ไม่สามารถจะเป็นกำลังสำรองเพราะวิสัยทัศน์นั้นไม่เกี่ยวกับจำนวนคน การไหลเวียนและปัญหาชะตากรรมของภาคธุรกิจที่เผชิญอยู่ การวิจัย การเปิดหลักสูตรที่จะมาตอบรับการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ซึ่งเหมือนกับว่าเป็นการทำกับข้าวที่บ้าน จะกินอย่างไรก็ได้ เพราะไม่ได้ทำขายในภัตตาคาร ทำกินเอง และเมื่อเจอการจัดตั้งระบบตลาดที่ดีกว่าของอีกชาติหนึ่ง ก็ทำให้เกิดการสูญเสียพื้นที่
ชาวเกาะจริงๆ แล้วอาการแบบนี้น่าจะมาถามสถาบันการศึกษาดีกว่าว่า “พวกคุณทำอะไรกันในตอนนี้?” เพราะโลกความเป็นจริงไม่สามารถปฏิเสธการแข่งขันได้ เมื่อมหาวิทยาลัยทำไม่ได้ ชาวรัสเซียจึงจัดการเองทุกเรื่องในธุรกิจการท่องเที่ยว แล้วจะบ่นอะไร
.........
(หมายเหตุ : เมื่อชาวเกาะ(ภูเก็ต)เกิดอาการผวารัสเซีย : แลกคนละหมัด โดยชินสัคค สุวรรณอัจฉริย [email protected])



