ข่าว

เล็งแก้กฎ!เรียนรด.ต้องเกณฑ์ทหาร

เล็งแก้กฎ!เรียนรด.ต้องเกณฑ์ทหาร

05 ก.พ. 2556

'นรด.' เล็งแก้กฎกระทรวง เรียน 'รด.' ต้องเกณฑ์ทหาร จ่อให้อภิสิทธิ์เฉพาะคนเรียนจบปี 5 ชี้ 3 ปี ฝึกไม่เข้มข้น ยังไม่ทันยิงปืนเป็น ก็เรียนจบแล้ว

                          5 ก.พ. 56  พล.ท.วิชิต ศรีประเสริฐ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (ผบ.นรด.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) มีแนวคิดที่จะให้ผู้ที่จบหลักสูตรนักศึกษาวิชาการทหาร ต้องเข้ามาเกณฑ์ทหาร ว่า เรื่องนี้ยังเป็นแนวคิด ขณะนี้ยังไม่สามารถทำได้ในทันที แต่ที่ผ่านมา ทาง นรด.มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน เพราะอนุสัญญาเจนีวา ห้ามไม่ให้เด็กฝึกอาวุธ จึงทำให้ นศ.วิชาทหาร ไม่สามารถฝึกอาวุธได้อย่างเข้มข้นเทียบเท่าการฝึกทหารเกณฑ์ ซึ่งคนที่เรียนจบ รด.ชั้นปีที่ 3 จะได้รับการแต่งตั้งเป็นทหารยศนายสิบ หากต้องมาปฏิบัติงาน ก็มีสิทธิปกครองผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาได้ เพราะถ้าการฝึกผู้บังคับบัญชาอ่อนกว่า จะไปออกคำสั่งได้อย่างไร ดังนั้นจึงต้องมีการฝึก เพื่อให้สมกับที่มีการประดับยศเป็นผู้นำ

                          พล.ท.วิชิต กล่าวต่อว่า ส่วนการผลักดันให้แนวคิดดังกล่าวเกิดขึ้นได้นั้น จะต้องแก้ไขในระดับกฎกระทรวงกลาโหม แต่ในส่วน พ.ร.บ.ส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร พ.ศ. 2503 คงไม่มีปัญหา เพราะไม่ได้กำหนดระดับชั้น เป็นเพียงการส่งเสริมด้านวิชาการเท่านั้น โดยในปีหนึ่งๆ จะมี นศ.วิชาทหารกว่าแสนคน แต่เรียนจบจริงประมาณ 8 หมื่นคน โดยการฝึกวิชาทหารอยู่ภายใต้แนวคิดลูกผู้ชายไทยทุกคนต้องเป็นทหารที่มีวินัยสูงกว่าคนปกติ เพราะทหารมีอุดมการณ์สูงสุด คือ กล้าเสียสละชีวิตเลือดเนื้อ เพราะปกป้องประเทศชาติ ส่วนกรณีที่มีปัญหาว่า มีผู้ปกครองวิ่งเต้นให้บุตรหลานได้เรียน รด. เพื่อไม่ต้องการเป็นทหารเกณฑ์ นรด.เป็นหน่วยตรวจสอบไม่ใช่หน่วยบังคับบัญชา ซึ่งปีนี้จะมีการประชาสัมพันธ์ให้มาก ว่าอย่าไปเชื่อใครที่บอกจะช่วยเหลือต่างๆ ได้

                          "กองทัพไม่ต้องการบุคคลที่ไม่แข็งแรงเข้ามาเป็นทหาร ถ้าโกงหรือวิ่งเต้นเข้ามาก็ต้องเจอกัน อย่าคิดว่าเสียเงินแล้วสามารถวิ่งเต้นได้ เพราะบางคนมีบุตรชาย แต่ไม่อยากให้เป็นทหาร ขอย้ำว่า การเป็นทหารไม่ได้โหดร้ายอย่างที่คิด และเป็นหน้าที่ของลูกผู้ชายไทย ผมให้เกียรติทหารทุกคนที่ทำงานเพื่อประเทศชาติและกองทัพ ทั้งนี้ยอมรับว่า หากเปิดให้มีการเรียน รด.มากขึ้น จะเกิดความเหลื่อมล้ำแน่นอน เพราะคนที่เรียน รด.ได้ คือ คนที่จบ ม.3 และต้องกำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนเท่านั้น ส่วนคนที่ไม่ได้เรียนต่อ จบ ม.3 แล้วเข้าสู่ตลาดแรงงาน จะไม่มีโอกาสได้เรียน รด.และจำเป็นต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารแทน ผมมองว่า ไม่ยุติธรรม แต่หากเปิดให้เรียน รด. 100 เปอร์เซ็นต์ ถามว่า แล้วจะเอาใครมาเป็นทหารเกณฑ์ เพราะกองทัพต้องมีทหาร"

                          ด้าน พล.ต.ทวีชัย กฤษิชีวิน ผู้บัญชาการศูนย์การกำลังสำรอง กล่าวว่า ต้องเข้าใจว่า นศ.วิชาทหาร ชั้นปีที่ 3 ปัจจุบันไม่ต้องเป็นทหาร ทำให้มีการแย่งชิงกันเข้าเรียน และเกิดความไม่ยุติธรรมขึ้น ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีเงินที่ไม่ต้องการให้ลูกเป็นทหารด้วยการมาเรียน รด. ทั้งนี้ในอนาคตจะต้องพูดคุยว่า นศ.วิชาทหาร ที่เรียนจบชั้นปีที่ 3 แล้ว อาจจะต้องเป็นทหารต่อประมาณ 6 เดือน เหมือนกับผู้ที่เรียนจบปริญญาตรี โดยใช้สิทธิสมัคร ส่วน นศ.วิชาทหาร ที่เรียนจบชั้นปีที่ 5 นั้น ไม่ต้องเป็นทหารต่อ แต่ถ้า นศ.วิชาทหาร ที่เรียนจบชั้นปีที่ 3 แล้วไม่ต้องการเป็นทหารจะต้องเรียนให้จบชั้นปีที่ 5 ที่สำคัญกฎหมายสากล ระบุว่า เด็กไม่สามารถฝึกอาวุธได้ จึงจำเป็นต้องขยายหลักสูตร โดยปรับไปอยู่ชั้นปีที่ 4 - 5 เพื่อจะได้มีความเชี่ยวชาญด้านการทหารมากขึ้น ไม่เช่นนั้น นศ.วิชาทหาร ชั้นปีที่ 3 ยังไม่ทันยิงปืนเป็น ก็เรียนจบแล้ว ซึ่งแนวคิดนี้น่าจะยุติธรรมที่สุด ถ้าไม่ทำแบบนี้อาจจะเป็นการเอาเปรียบคนยากจนได้ ทางกองทัพต้องหาวิธีการ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมในสังคม ถือว่าเป็นแนวคิดที่ดี ซึ่งจะต้องไปศึกษารายละเอียด

                          พล.ต.ทวีชัย กล่าวต่อว่า ขณะนี้มี นศ.วิชาทหาร ชั้นปีที่ 1 - 3 ทั่วประเทศประมาณ 3 แสนกว่าคน ซึ่งถือว่ามีจำนวนมาก ส่วนชั้นปีที่ 4 - 5 มีอยู่ประมาณหมื่นกว่าคน จึงทำให้เกิดการแย่งกันเข้าเรียน รด.เพื่อไม่ต้องเป็นทหาร แต่คนที่เรียนชั้นปีที่ 4 - 5 ต้องใจรักจริง โดยจะได้ยศเทียบเท่า ร.ต. เพื่อเป็นเกียรติยศและศักดิ์ศรี ส่วน นศ.วิชาทหาร ที่เรียนชั้นปีที่ 3 จะได้ยศเทียบเท่ายศนายสิบ ในฐานะที่ตนเป็นครูฝึกและเป็นหน่วยที่รับผิดชอบ ต้องการให้นศ.วิชาทหารเหล่านี้เรียนจบชั้นปีที่ 5 เพื่อศักดิ์ศรีตนเองและปลูกฝังเรียนรู้เรื่องวิชาทหาร โดยเฉพาะการช่วยเหลือสังคม ทั้งนี้ที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่เคยใช้ทหารกำลังสำรอง และเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาก็เพิ่งฟื้นฟูระบบกำลังสำรอง เพื่อจัดให้เป็นรูปแบบระบบใหม่ โดยจะต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับประเทศสิงคโปร์ อังกฤษ สหรัฐฯ ที่มีการพัฒนาเรื่องนี้พอสมควร โดยเฉพาะสิงคโปร์ เป่านกหวีดปรี๊ดเดียว ก็มีกำลังพล 2 กองพล พร้อมปฏิบัติหน้าที่ทันที

                          "นศ.วิชาทหารของไทยมีระดับการเรียนเกรด 3 - 4 ถือว่ามีสติปัญญาดี แต่เมื่อมาฝึกระยะสั้นจะไม่ได้ผล แม้ว่าครูฝึกจะมีการสอนภาคปฏิบัติต่างๆ ก็ยังไม่เกิดเป็นรูปร่าง แต่ถ้าเรียนต่อไปถึงปี 5 จึงจะสมบูรณ์ ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า ถ้านำคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือมาเกณฑ์ทหารนั้น ความรู้ความสามารถอาจจะน้อยกว่าผู้ที่เรียนหนังสือ กองทหารที่พัฒนาแล้วจะต้องมีทหารที่มีสติปัญญา เพราะนอกจากกำลังกายแล้วสติปัญญาก็สำคัญ กองทัพต้องมีการพัฒนา แต่ที่ผ่านมาไม่มีโอกาสได้เลือก อย่างไรก็ตามแนวคิดดังกล่าวจะต้องไปแก้ไขที่กฎกระทรวงกลาโหม ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร กองทัพไม่สามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจ เพราะทุกอย่างเป็นกฎหมายหมด และคิดว่าคงยังไม่เกิดในเร็วนี้"

                          พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่าจะมีการปรับหลักสูตร และอัตราของนักศึกษาวิชาทหารว่า ทางกระทรวงกลาโหม ขอชี้แจงว่า ตามเจตนารมณ์ 6 ข้อของ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ที่มอบให้ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บังคับหน่วยขึ้นตรง เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2555 เรื่องการพัฒนาระบบกำลังสำรองเป็นเจตนารมณ์ประการหนึ่งที่ให้มีการพิจารณาทบทวนวัตถุประสงค์ของการเรียนวิชาทหารของนักศึกษาวิชาทหาร รวมทั้งพยายามสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้ามาเป็นทหาร ตลอดจนพิจารณาเรื่องการใช้ประโยชน์ทหารกองประจำการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมกับคุณวุฒิทางการศึกษา ระบบการฝึกนักศึกษาวิชาทหาร จะต้องมีการปรับปรุงหลักสูตรการฝึกให้เกิดความเหมาะสม เช่น พิจารณาทบทวนวัตถุประสงค์ของการเรียนวิชาทหาร โดยให้เห็นถึงความภาคภูมิใจในการเข้ามารับใช้ชาติด้วยการเป็นทหาร

                          "นอกจากนี้หากมีการรับสมัครนักศึกษาวิชาทหารเพิ่มขึ้นจะทำให้อัตราส่วนการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้าเป็นทหารกองประจำการในแต่ละผลัดลดลง ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบในการปฏิบัติงานของหน่วยที่มีการบรรจุทหารกองประจำการได้ อย่างไรก็ตามหากจะมีการปรับระบบที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรนักศึกษาวิชาทหารจะมีการประชุมหารือ เพื่อให้ได้แนวทางปฏิบัติอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ความมั่นคงในปัจจุบัน โดยพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบต่อผู้ที่เข้ารับการศึกษาและการปฏิบัติงานในภาพรวมของกระทรวงกลาโหม"

                          ขณะที่ พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก กล่าวชี้แจงว่า เรื่องการจะให้นศ.วิชาทหารเข้ามาเกณฑ์ทหารเป็นเพียงแนวคิดของหน่วยที่เกี่ยวข้องที่มีการนำเสนอผ่านทางผู้บังคับบัญชา ซึ่งเรื่องดังกล่าวยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น และยังไม่คิดว่า จะต้องมีการแก้ไขกฎกระทรวงกลาโหมหรือไม่แต่อย่างใด เป็นเพียงข้อห่วงใยว่า แนวโน้มว่า ในอนาคตยอดคนที่เข้ามาตรวจเลือกเป็นทหารกองประจำการจะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะจากในอดีตที่เคยมีอัตราส่วนผู้เข้ารับการตรวจเลือก 10 คนเป็นทหารเพียง 1 คน แต่ปัจจุบันอัตราส่วนเหลือเพียงตรวจเลือก 2 คนต่อทหาร 1 คน ขณะเดียวกันความต้องการของผู้ปกครองที่จะให้บุตรเข้ามาเรียนรด.มีปริมาณมากกว่าทางราชการกำหนดไว้มาก ทางหน่วยที่เกี่ยวข้องจึงต้องหารือว่า จะดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างไร

                          อย่างไรก็ตามปัจจุบันผู้ผ่านการเรียนรด.ส่วนหนึ่งสมัครใจและมีความประสงค์ที่จะเป็นทหารกองประจำการเช่นกัน หลายคนจึงเสนอว่าน่าจะเปิดโอกาสให้นักเรียนที่ผ่านการเรียนรด.เข้ามาเป็นทหารกองประจำการด้วย ทั้งนี้ในอนาคตทางกองทัพจะมีการพัฒนาระบบกำลังสำรอง โดยอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระดับความเป็นสากล ซึ่งจะต้องมีการหารือร่วมกันและต้องปรับให้เหมาะกับสังคมไทย แต่ยืนยันว่า แนวคิดดังกล่าวยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้แน่นอน ขอให้นศ.วิชาทหารที่เรียนอยู่ทุกคนสบายใจว่าการดำเนินการในขณะนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด