
'ใหญ่ พนัสนิคม'ผู้ชำนาญพระเนื้อโลหะทุกสำนัก
การได้ส่องพระแท้องค์จริงทำให้ดูพระเป็นเร็วขึ้น ใหญ่ พนัสนิคม ผู้ชำนาญพระเนื้อโลหะทุกสำนัก : เส้นทางนักพระเครื่อง โดยตาล ตันหยง
อำเภอพนัสนิคม จ.ชลบุรี แต่เดิมเป็นเมืองโบราณ เคยเจริญรุ่งเรืองมากเมื่อสมัยประมาณ ๑,๐๐๐ ปีก่อน หรือสมัยที่ขอมยังเรืองอำนาจอยู่ในอาณาจักรสุวรรณภูมิ จากหลักฐานต่างๆ น่าเชื่อถือว่า เมืองเก่าที่เคยเจริญรุ่งเรืองดังกล่าวนี้ มีชื่อว่า “เมืองพระรถ”
พนัสนิคม ตั้งขึ้นเป็นเมืองในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.๒๓๗๑ ต่อมาในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาค และจัดระเบียบการปกครองใหม่ เป็นมณฑล จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน จึงโปรดเกล้าฯ ให้ เมืองพนัสนิคม เมืองบางละมุง และเมืองบางปลาสร้อย รวมกันมีฐานะเป็นอำเภอ อยู่ในความปกครองของ จ.ชลบุรี ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๔๑ เป็นต้นมา
ด้วยเหตุนี้ อ.พนัสนิคม จึงมีโบราณวัตถุ โบราณสถานอยู่มากพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระพุทธรูปศิลา สมัยทวารวดี ที่เรียกว่า พระพนัสบดี ซึ่งชาวบ้านให้ความเคารพนับถือกันมาก
นอกจากนี้ อ.พนัสนิคม ยังมีพระเกจิอาจารย์รุ่นเก่าก่อนที่มีชื่อเสียงหลายท่าน ได้สืบทอดวิทยาคมจากรุ่นสู่รุ่น จนถึงทุกวันนี้ อันเป็นส่วนหนึ่งที่จุดประกายให้ชาวพนัสนิคมบางคนหันมาสนใจสะสมและอนุรักษ์พระเครื่องของท้องถิ่นตัวเองอย่างกว้างขวาง จนมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการพระเครื่องทุกวันนี้ หนึ่งในนั้นคือ พิเชษฐ์ สายทอง เจ้าของฉายา ใหญ่ พนัสนิคม ลูกหลานชาวพนัสนิคมโดยกำเนิด
ใหญ่ พนัสนิคม เล่าถึงความเป็นมาของตัวเองว่า “ผมสนใจพระเครื่องมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะเรื่องเรียนหนังสือผมไม่ค่อยชอบ จึงเรียนไม่จบ ผมก็ออกจากโรงเรียนมาขับรถให้ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นเซียนพระชื่อดัง เขาเปิดร้านพระบนห้างพันธุ์ทิพย์
ประตูน้ำ เวลาว่างจากงานขับรถเขาก็ให้ผมเฝ้าตู้พระ คอยเรียกลูกค้าที่ผ่านไปมา ขณะเดียวกัน ผมก็ได้อาศัยดูพระในตู้ไปด้วย ซึ่งเป็นพระแท้ดูง่าย สมัยนั้นมีพระแท้ๆ เยอะมาก ราคาก็ไม่แพงเหมือนทุกวันนี้ เวลาที่ผมเรียกลูกค้าเข้าร้านได้ หากมีการซื้อหรือขายพระกัน เขาจะให้เงินแก่ผมด้วย โดยไม่มีอัตราว่าจะต้องให้เท่าไร ตามแต่จะให้ และผมเองก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร เพราะกินอยู่กับเขาอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้นคือ การได้ส่องพระแท้องค์จริง ได้เรียนรู้จุดสำคัญต่างๆ ขององค์พระแต่ละองค์ ซึ่งเจ้านายผมเขาจะไม่บอกตรงๆ หรอกว่าพระแท้ดูตรงไหนบ้าง จุดสำคัญในการพิจารณาเป็นอย่างไร เนื้อพระแท้เป็นแบบไหน เขาจะบอกเพียงสั้นๆ ว่าพระในตู้ทั้งหมดเป็นพระแท้ทั้งนั้น สนใจองค์ไหนหยิบไปดูได้ตามใจชอบ จะจดจำจุดไหนเป็นจุดสำคัญก็ได้ เป็นเรื่องของเรา ตรงนี้ผมคิดว่าเป็นการดีกว่าสอนกันตรงๆ เพราะการสอนวิธีดูพระกันตรงๆ คนที่เรียนรู้มักจะไม่จดจำ และไม่คิดที่จะขวนขวายหาข้อมูลเพิ่มเติมเอาเอง การเรียนรู้ดูพระให้เป็น ไม่ใช่การส่องดูพระองค์นั้นองค์นี้แต่เพียงอย่างเดียว แต่เราจะต้องหาข้อมูลอื่นๆ ประกอบด้วย ถึงจะเข้าใจเร็วขึ้น และทำให้ดูพระได้แม่นยำขึ้นด้วย สำหรับผม เจ้านายคนนี้ให้ความรู้แก่ผมจากการดูพระแท้องค์จริงมากมาย จนผมจดจำติดตาติดใจ เมื่อได้พบเห็นพระองค์อื่นๆ ที่เขาวางขายทั่วๆ ไป ก็สามารถบอกได้ว่า พระองค์นั้นแท้หรือปลอม ซึ่งผมใช้หลักการพิจารณานี้มาแล้ว ปรากฏว่าได้ผลถูกต้องเสมอ”
ใหญ่ พนัสนิคม ทำงานอยู่กับเซียนพระคนนั้นหลายปี จนดูพระได้แม่นพอสมควร จึงได้ลาออกมาใช้ชีวิตส่วนตัว โดยตระเวนซื้อขายพระไปทั่วทุกแห่งหนที่มีตลาดพระ ทั้งสนามใหญ่ สนามเล็ก รวมทั้งตามงานประกวดพระทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพราะได้ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเอาดีทางนี้ให้ได้ ปรากฏว่าในระยะเริ่มต้นของการทำอาชีพซื้อขายพระ ใหญ่มีรายได้เป็นที่น่าพอใจ เลี้ยงตัวได้อย่างสบายๆ เพราะได้ซื้อได้ขายพระเกือบทุกวัน
ขณะเดียวกัน การคลุกคลีอยู่ในวงการพระมานานวัน ทำให้มีพรรคพวกเพื่อนฝูงมากขึ้นเรื่อยๆ ตรงจุดนี้ ใหญ่บอกว่า “เราต้องจริงใจซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ ตรงไปตรงมา อย่ามีเล่ห์เหลี่ยม เอาเปรียบเพื่อนฝูง ต้องรู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนอื่นบ้าง แล้วจะอยู่ในสังคมวงการพระได้อย่างมีความสุข พร้อมทั้งมีรายได้ดีอีกด้วย”
หลักการดูพระประเภทเหรียญ ใหญ่บอกว่า “อันดับแรกต้องดูที่พิมพ์ก่อน หากพิมพ์ผิดเพี้ยนก็ไม่ต้องดูอย่างอื่น ถ้าพิมพ์ถูกต้องก็ดูอย่างอื่นประกอบ เช่น เนื้อโลหะ มีความเก่าถึงยุคหรือไม่ ดูการแกะแม่พิมพ์ และที่สำคัญมาก คือ ดูขอบเหรียญ เหรียญยุคเก่ามักเป็นขอบกระบอก, ขอบเลื่อย, ขอบกษาปณ์ (เรียบ) เหรียญสมัยใหม่ส่วนใหญ่จะเป็นขอบปั๊ม หากฝึกฝนการดูบ่อยๆ และจดจำให้แม่น โอกาสพลาดย่อมมีน้อย”
สำหรับประสบการณ์จากการใช้พระเครื่องรางของขลัง ใหญ่ บอกว่า สมัยวัยรุ่นเคยถูกคู่อริใช้มีดดาบฟันอย่างจัง แต่ไม่เข้า เป็นเพียงรอยจ้ำๆ สมัยนั้นแขวนพระเครื่องรางของขลังมากมาย เลยไม่รู้ว่า “ของดี” ชิ้นไหนช่วยชีวิตไว้ได้
อีกครั้งหนึ่ง สมัยที่ตระเวนซื้อขายพระแล้ว ได้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของเพื่อน ถูกรถตู้พุ่งชนอย่างแรงจนเพื่อนคนขับกระเด็นครูดไปกับพื้นถนน ได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนตัวใหญ่กลับไม่เป็นอะไรเลย ครั้งนั้นแขวน “เสือหลวงพ่อปาน” วัดบางเหี้ย เพียงตัวเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ใหญ่จึงเชื่อเต็มร้อยว่า พระเครื่องหรือเครื่องรางต่างๆ ที่ผ่านพิธีปลุกเสกมาอย่างถูกต้อง โดยพระเกจิอาจารย์ผู้มีวิชาอาคมขลังมีความศักดิ์สิทธิ์จริง
ทุกวันนี้ ใหญ่ พนัสนิคม ไม่มีร้านพระเป็นที่อยู่ประจำ แต่ใช้วิธีเดินซื้อขายตามสนามพระทุกแห่ง มีเพื่อนๆ รู้จักกันดี และมีการซื้อขายกันเองบ่อยๆ ส่วนลูกค้าทั่วไปติดต่อได้ที่เว็บ “ท่าพระจันทร์” (thaprachan.com) โดยมีหลักประกัน “พระแท้” ให้ด้วย และในเร็วๆ นี้จะเปิดร้านเป็นของตัวเอง บนอาคารพาณิชย์ ๔ ชั้น ถนนรัชดารามอินทรา เขตบึงกุ่ม กทม. โทร.๐๘-๑๙๑๗-๒๐๑๘
ใหญ่ พนัสนิคม กล่าวในตอนท้ายว่า “วงการพระเครื่องยังมีอนาคตสดใสไปอีกนาน ตราบใดที่คนในวงการพระมีความซื่อสัตย์ จริงใจ และมีคุณธรรมกับลูกค้า และที่สำคัญคือ การรับประกัน ‘พระแท้’ ให้ลูกค้าเสมอ หากมีปัญหาต้องรับคืนพระคืนเงินแต่โดยดี เมื่อลูกค้ามีความเชื่อถือมากขึ้น ความเจริญก้าวหน้าของวงการพระก็จะมีมากขึ้นด้วย”



