ข่าว

มุฮาญิรีน-โรฮิงญา

มุฮาญิรีน-โรฮิงญา

25 ม.ค. 2556

มุฮาญิรีน-โรฮิงญา : วิถีมุสลิมโลก โดยศราวุฒิ อารีย์

               การเริ่มต้นนับปีศักราชของอิสลาม หรือที่เรียกว่า ‘ฮิจญเราะฮ์ศักราช’ นั้น มีความน่าสนใจ เพราะไม่ได้เริ่มนับจากการประสูติหรือการเสียชีวิตของศาสดา แต่เริ่มนับจากการอพยพของศาสนทูตมุฮัมมัดจากนครมักกะฮ์ไปยังเมืองที่รู้จักกันในขณะนั้นว่าเมืองยัษริบ (Yathrib) ซึ่งอยู่ห่างจากมักกะฮ์ขึ้นไปทางเหนือประมาณ 425 กิโลเมตร ฉะนั้น คำว่า ‘ฮิจญเราะฮ์’ จึงมีที่มาจากเหตุการณ์นี้ ซึ่งแปลว่า ‘การอพยพ’

               ส่วนสาเหตุที่ต้องอพยพนั้น ก็เพราะตลอดช่วงเวลา 13 ปีที่ศาสดาได้ประกาศและเผยแพร่ศาสนาในนครมักกะฮ์ ท่านและชาวมุสลิมอีกจำนวนหนึ่งถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ถูกข่มเหงรังแก ถูกต่อต้าน จนถึงขั้นถูกลอบทำร้ายและสังหารชีวิต สุดท้ายจึงตัดสินใจอพยพไปยังเมืองยัษริบที่มีความปลอดภัยและมีบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการประกาศศาสนา

               เมื่อศาสดาได้เดินทางไปถึงที่หมาย ชาวเมืองยัษริบก็พร้อมใจกันเปลี่ยนชื่อเมือง เรียกเสียใหม่ว่าเป็นเมือง ‘มะดีนะตุลนบี’ หรือแปลเป็นไทยว่าเป็นเมืองของท่านศาสดา ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า ‘มะดีนะฮ์’
ศาสดาได้วางรากฐานความเป็นพี่น้องระหว่างมุสลิม 2 กลุ่มในนครมะดีนะฮ์คือ กลุ่ม ‘มุฮาญิรีน’ หมายถึงผู้อพยพชาวมักกะฮ์ และกลุ่ม ‘อันศอร’ หมายถึงผู้ให้ความช่วยเหลือ โดยวางข้อกำหนดสำหรับชาวอันศอรในการให้ความช่วยเหลือแก่ชาวมุฮาญิรีน ซึ่งอพยพลี้ภัยมาจากมักกะฮ์โดยไม่มีทรัพย์สินและเครื่องยังชีพใดๆ ติดตัวมา

               ที่ผมยกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ข้างต้นมาเล่าก็เพื่อสะท้อนว่า ครั้งหนึ่งศาสนทูตมุฮัมมัดก็เคยตกอยู่ในสถานะผู้ลี้ภัยที่ต้องการความช่วยเหลือ แม้จะมีบริบทที่แตกต่างกัน แต่ชาวมุสลิมโรฮิงญาในปัจจุบันก็มีสภาพที่เหมือนกันหรืออาจแย่ยิ่งกว่านั้น เพราะพวกเขาถูกล่าสังหาร ถูกทรมาน ถูกข่มขืน ถูกบังคับใช้แรงงาน ถูกทำลายบ้านเรือน ถูกขับไล่ไสส่ง จนต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ ข้ามไปบังกลาเทศ และล่องเรือเข้าน่านน้ำในมาเลเซียและไทย

               ฉะนั้น การหนีตายของชาวโรฮิงญาที่เข้ามาในไทยเป็นจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา จึงได้รับความเห็นอกเห็นใจและการให้ความช่วยเหลือที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ชุมชนมุสลิมไทยที่ผมได้เข้าไปสัมผัสต่างพูดถึงความทุกข์ยากของชาวโรฮิงญา แทบทุกมัสยิดได้ขอรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือชาวโรฮิงญาที่เข้ามาไทย ชาวมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ความช่วยเหลือทั้งที่อยู่อาศัย อาหาร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค

               ขณะที่สำนักงานจุฬาราชมนตรีและตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการอิสลาม 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ออกแถลงการณ์ขอให้ชาวไทยและมุสลิมช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากชาวโรฮิงญา ขอให้รัฐบาลคำนึงถึงมนุษยธรรม และขอให้องค์การระหว่างประเทศจัดหาที่พักและกดดันรัฐบาลพม่าให้ยอมรับโรฮิงญาเป็นพลเมือง

               ความจริงไม่ใช่เฉพาะมุสลิมไทยเท่านั้นที่ให้ความช่วยเหลือ แต่น้ำจิตน้ำใจอีกส่วนหนึ่งยังหลั่งไหลมาจากประชาชนคนไทยจำนวนมากที่เห็นอกเห็นใจมุสลิมโรฮิงญาในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่กำลังตกระกำลำบากอย่างแสนสาหัส

               ที่ผ่านมาสังคมไทยได้ถกเถียงปัญหาโรฮิงญาในหลายแง่มุม ทั้งเรื่องรากเหง้าของปัญหาอันเกิดจากความขัดแย้งเรื่องชาติพันธุ์ในพม่า เรื่องการถูกกระทำของชาวโรฮิงญาในบ้านเกิดของตนเอง ปัญหาการค้ามนุษย์ การกดดันทางการเมืองและภาคประชาสังคมให้องค์กรระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศเข้ามาร่วมแก้ปัญหาคนกลุ่มนี้อย่างเป็นระบบ หรือแม้แต่ข่าวการเชื่อมโยงชาวโรฮิงญากับเหตุความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ความพยายามที่จะมองในแง่มุมของกฎหมายเชื่อมโยงคนกลุ่มนี้เป็นผู้ลักลอบเข้ามาในไทย จึงต้องส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง ฯลฯ

               แต่สำหรับชาวมุสลิมไทยแล้ว (ผ่านสำนึกทางประวัติศาสตร์อิสลาม) พวกเขาคือมุฮาญิรีน-โรฮิงญาที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเป็นเบื้องต้นและไม่ควรถูกผลักไสไล่ส่งให้ต้องกลับไปรับโทษที่พวกเขาไม่ได้ก่อขึ้น