
เลื่อนอ่านอุทธรณ์'แม่หมอเผ่า'ฟ้อง'เปมิกา'
เลื่อนอ่านอุทธรณ์ ตระกูล'ทมทิตชงค์' ฟ้อง 'เปมิกา' หมิ่นประมาท หลังจำเลยส่งตัวแทนระบุป่วยด้วยโรคประจำตัว ศาลให้โอกาสนัดอีกครั้ง 28 ม.ค.นี้
21 ม.ค.56 ผู้สื่อข่าวรายงานจากห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษกว่า เมื่อเวลา 10.30 น. ศาลมีคำสั่งเลื่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.1973/2550 ที่นางเพลินจิต และนพ.ประกิตพันธุ์ ทมทิตชงค์ มารดาและพี่ชายของ นพ.ประกิตเผ่า ทมมิตชงค์ เจ้าของสถาบันกวดวิชาชื่อดัง “ แอพพลายส์ฟิสิกส์ ” เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.เปมิกา หรือ อุ๋ย วีรชัชรักษิต อายุ 30 ปี อดีตเพื่อนสนิทของ นพ.ประกิตเผ่า เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่น และแจ้งความเท็จเพื่อให้บุคคลอื่นต้องรับโทษทางอาญาและเบิกความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 , 173 , 174 , 177 และ 326 กรณีวันที่ 20 ก.พ.- 9 มี.ค. 2550 จำเลยใส่ความโจทก์ทั้งสองด้วยข้อความอันเป็นเท็จต่อ พ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น สารวัตรสอบสวน สน.บางซื่อ ว่า น.พ.ประกิตเผ่า มีปัญหากับครอบครัว ทั้งมารดา พี่ชาย และภรรยา เกี่ยวกับการบริหารสถาบันกวดวิชา และทำให้มารดาและพี่ชายวางแผนหลอกเอาตัวไปคุมไว้ที่ โรงพยาบาลศรีธัญญา เพื่อให้เป็นคนมีอาการโรคจิต และต่อมาวันที่ 9 มี.ค.2550 จำเลยได้เบิกความเท็จดังกล่าวต่อศาลอาญา
โดยวันนี้โจทก์และจำเลย ไม่ได้เดินทางมาศาล ขณะที่ทนายความทั้งสองฝ่ายมอบอำนาจให้ผู้แทนมาศาล ซึ่งผู้แทนจำเลย แถลงต่อศาลจำเลยมีอาการป่วย
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า วันนี้จำเลยไม่มาศาลโดยมีผู้แทนแถลงจำเลยป่วยด้วยโรคประจำตัว แต่ไม่มีใบรับรองแพทย์ ขณะที่จำเลยแจ้งความประสงค์จะไกล่เกลี่ยคดีโจทก์ก่อนที่จะมีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลสอบถามแล้วผู้แทนฝ่ายโจทก์ไม่คัดค้าน กรณีมีเหตุสมควรจึงให้นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อีกครั้งในวันที่ 28 ม.ค.นี้ เวลา 09.00 น. และกำชับให้ผู้แทนทั้งสองฝ่ายแจ้งให้ตัวโจทก์- จำเลยมาศาลหากประสงค์จะไกล่เกลี่ยคดีกันในนัดหน้า ขณะที่หากจำเลยไม่มาศาลโดยอ้างเหตุป่วยและไม่มีใบรับรองแพทย์ในนัดหน้าอีก ศาลจะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 28 พ.ค.2550 ซึ่งศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2552 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าความผิดฐานหมิ่นประมาท คดีขาดอายุความเพราะโจทก์ยื่นฟ้องเกินภายในระยะเวลา 3 เดือนนับแต่วันที่รู้ว่าถูกกระทำให้ได้รับความเสียหาย ส่วนความผิดฐานแจ้งความเท็จโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยแจ้งข้อความใดที่เป็นเท็จกับพนักงานสอบสวน ขณะที่จำเลยเบิกความยืนยันว่า ได้รับโทรศัพท์จาก นพ.ประกิตเผ่า ว่าถูกกลุ่มบุคคลนำตัวไปกักขัง ขอให้ช่วยเหลือ และพยานที่เป็นผู้ช่วยผู้ป่วยโรงพยาบาลศรีธัญญา ยังยืนยันว่า ให้โทรศัพท์เคลื่อนที่ นพ.ประกิตเผ่า ยืมใช้ จึงเชื่อว่าจำเลยทราบเหตุดังกล่าวแล้วไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน จึงเป็นการแจ้งความตามข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น สำหรับความผิดฐานเบิกความเท็จนั้นมุ่งคุ้มครองเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้คือโรงพยาบาลศรีธัญญา โจทก์ร่วมทั้งสองจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์
ขณะที่ คดีพิพาทระหว่างตระกูลทมทิตชงค์ กับ น.ส.เปมิกา ดังกล่าวเคยเป็นข่าวโด่งดังเมื่อปี 2550 ซึ่งต่างฝ่ายยื่นฟ้องคดีต่อกันหลายสำนวน ประกอบด้วย 1.คดีหมายเลขดำ อ.1903 /2550 ที่ น.ส.เปมิกา เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นพ.ประกิตพันธุ์ และนางอลิสา ทมทิตชงค์ พี่ชายและภรรยา นพ.ประกิตเผ่า เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐาน ร่วมกันหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 กรณีระหว่างวันที่ 15 - 21 เม.ย.2550 น.พ.ประกิตพันธุ์ และนางอลิสา ร่วมกันให้สัมภาษณ์กับนายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา เพื่อบันทึกเสียง บันทึกภาพลงในโสตวัสดุโทรทัศน์ แพร่ภาพออกอากาศสถานีวิทยุโทรทัศน์ ช่อง 3 รายการ “ จับเข่าคุย ” ว่า น.ส.เปมิกาเป็นคนวางยาน.พ.ประกิตเผ่า ซึ่งคดีดังกล่าวศาลอาญา มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 7 ก.ย.2552 ให้ยกฟ้องไปตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 เนื่องจากโจทก์ไม่ได้นำสืบพยาน ที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดหรือไม่
2.คดีหมายเลขดำ อ.2026/2550 ที่ น.ส.เปมิกา ยื่นฟ้อง นพ.ประกิตพันธุ์ และนางอลิสา ทมทิตชงค์ เป็นจำเลยที่ 1 - 2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326และ 328 กรณีเมื่อวันที่ 3 - 4 มี.ค.2550 มีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนทำนองว่า น.ส.เปมิกา มีส่วนเกี่ยวข้องกับสารอีเฟรดรีน ที่พบในร่างกายของ นพ.ประกิตเผ่า ใช้จิตวิทยาหมู่หลอกเอาเงินจำนวน 40 ล้านบาท ไปจาก นพ.ประกิตเผ่า โดยคดีนี้ น.ส.เปมิกา โจทก์ ได้ถอนฟ้องคดีไปและศาลอาญา มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความแล้ว
3.คดีหมายเลขดำ 511/2550 ที่นางอลิสา ภรรยาของ นพ. ประกิตเผ่า เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.เปมิกา เป็นจำเลยต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ในคดีแพ่ง เรื่อง เรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนทำนองชู้สาว จำนวนทุนทรัพย์ 27 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา ร้อยละ 7.5 ต่อปี ซึ่งศาลเยาวชนมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ก.ย.2551 ให้ น.ส.เปมิกา ชดใช้เงินจำนวน 2 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ให้กับนางอลิสา
นอกจากนี้ ยังมีคดีอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 และนางเพลินจิต มารดา นพ.ประกิตเผ่า ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.เปมิกา กับพวกรวม 4 คน ซึ่งเป็นเพื่อนน.ส.เปมิกา เป็นจำเลยต่อศาลอาญาในคดีหมายเลขดำ อ.4543/2550 ด้วย ในความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์สินของบุคคลอื่นโดยอาศัยความอ่อนแอแห่งจิตของผู้ถูกหลอกลวง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 , 342 , 83 , 81 กรณีร่วมกันฉ้อโกง นพ.ประกิตเผ่า เป็นรถยนต์โตโยต้าแคมรี่ รวมทั้งเงินสดและทรัพย์สินอื่น มูลค่าหลายล้านบาท ซึ่งศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ต.ค.2553 ให้จำคุก น.ส.เปมิกา จำเลยที่ 1 ฐานฉ้อโกง 7 กระทงๆ ละ 6 เดือน ฐานพยายามฉ้อโกง 3 กระทงๆ ละ 4 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้น 4 ปี 6 เดือน และให้จำคุกจำเลยที่ 2-4 ฐานสนับสนุนการฉ้อโกง 7 กระทงๆละ 4 เดือน และปรับกระทงละ 3,000 บาท และฐานสนับสนุนให้ผู้อื่นพยายามฉ้อโกง 3 กระทงๆ ละ 2 เดือน 20 วัน และปรับกระทงละ 2,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 2-4 เป็นเวลาคนละ 3 ปีและปรับคนละ 27,000 บาท แต่จำเลยที่ 2-4 ประกอบอาชีพการงานมั่นคงและไม่เคยต้องโทษอาญามาก่อน พฤติการณ์เป็นเพียงผู้สนับสนุนโทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้กระทงละ 2 ปี ขณะที่ศาล น.ส.เปมิกา จำเลยที่ 1กับพวก ร่วมกันคืนทรัพย์สินจำนวน 8,035,387 บาทคืนให้กับโจทก์ร่วมและผู้เสียหายด้วย โดยคดีนี้อยู่ระหว่างการอุทธรณ์คดี