ข่าว

'นพดล'หอบเงิน2ล.ท้าปชป.ปมพระวิหาร

'นพดล'หอบเงิน2ล.ท้าปชป.ปมพระวิหาร

14 ม.ค. 2556

'นพดล'หอบเงินสด 2 ล.เดิมพันท้าพิสูจน์ปชป.ไร้ข้อข้องเกี่ยว 6 ปมเขาพระวิหาร ใครพิสูจน์ได้เอาไปเลย ขณะที่ศาลรับคำฟ้องแล้ว'กลุ่มคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน'ฟ้องกต.

                14 ม.ค.56 นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงถึงกรณีที่ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า กัมพูชาใช้แผนบันได 5 ขั้น เพื่อฮุบเขาพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ว่า ในฐานะที่นายชวนนท์ทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ น่าจะรู้ว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาตั้งแต่ปี 2505 ตามคำตัดสินของศาลโลก ส่วนพื้นที่ทับซ้อนนั้นต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ ซึ่งสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชนได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมจนกัมพูชายอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออกจากการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ดังนั้นแถลงการณ์ร่วมจึงเป็นประโยชน์ เพราะทำให้กัมพูชายอมรับเป็นครั้งแรกว่ามีพื้นที่ทับซ้อนอยู่ และไม่นำไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แต่น่าเสียดายที่ศาลตัดสินให้คำแถลงการณ์ร่วมเป็นโมฆะ ซึ่งหากปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วมเหตุการณ์จะไม่บานปลายจนมีการสู้รบตามแนวชายแดน และเรื่องจะไม่ถูกนำขึ้นศาลโลก ดังนั้นขอให้พรรคประชาธิปัตย์ระวังท่าทีในการแสดงออกด้วย เพราะศาลโลกยังไม่ตัดสินคดี อาจจะส่งผลเสียต่อรูปคดีได้

                นายนพดล กล่าวต่อว่า เรื่องปราสาทพระวิหารมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ 6 ข้อที่คนไทยควรรู้ได้แก่ 1.ปี 2505 ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นหนึ่งในทีมทนายความที่ว่าความคดีศาลโลกตัดสินว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว 2.ปี 2553 กัมพูชายื่นเรื่องให้ศาลโลกตีความคำตัดสินปี 2505 ในยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี 3.ปี 2543 พรรคประชาธิปัตย์จัดทำเอ็มโอยู 43 ใช้แผนที่ระวาง 1:200,000 เพื่อปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา ทั้งที่ศาลโลกใช้แผนที่มาตราส่วนดังกล่าวตัดสินให้ไทยแพ้คดี และต้องยกปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาตามคำตัดสินศาลโลก 4.ปี 2551 พรรคประชาธิปัตย์แต่งตั้งคนที่ด่าผู้นำประเทศอื่นว่าเป็นกุ๊ยเป็นรมว.ต่างประเทศ ซึ่งผิดธรรมเนียมการทูตอย่างรุนแรง 5.ปี 2553 นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ อดีตส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ รุกล้ำดินแดนกัมพูชา ทำให้คนไทยถูกจับขังคุกในกัมพูชา สร้างความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา และ6.ปี 2556 พรรคประชาธิปัตย์เสนอให้ไทยถอนตัวจากภาคีสมาชิกมรดกโลก ทำให้ไทยออกจากโลกอารยะ ทั้งนี้ หากใครสามารถหาหลักฐานได้ว่า ทั้ง 6 ข้อเป็นความเท็จ ตนพร้อมให้เงิน 1 ล้านบาททันที และหากหาหลักฐานได้ภายใน 24 ชั่วโมง ตนจะเพิ่มให้เป็น 2 ล้านบาท

                ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการแถลงข่าวของนายนพดลนั้น ได้นำเงินสดจำนวน 2 ล้านบาทมาโชว์ต่อสื่อมวลชนเพื่อประกอบการแถลงข่าวด้วย

 

ศาลรับคำฟ้องแล้ว"กลุ่มคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน"ฟ้องก.ต่างประเทศ รวม 6 ราย

               
                นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ พร้อมด้วย ม.ล.วัลย์วิภา บุรุษพันธุ์ และนายสมบูรณ์ ทองบุราณ แกนนำกลุ่มคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง กระทรวงการต่างประเทศ , นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ , นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ , นายภาสกร ศิริยะพันธุ์ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก , นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษก กระทรวงต่างประเทศ และนายธัชชยุติ ภักดี รองอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐาน ร่วมกันปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ,90 ,91,157 และเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นและประชาชน

                โดยคำฟ้องบรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 9 ก.พ.55 จำเลยทั้ง 6 ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามสายบังคับบัญชา โดยร่วมกันและแบ่งหน้าที่กันทำ เพื่อให้มีการเผยแพร่เอกสารชื่อ “ข้อมูลที่ประชาชนไทยควรทราบเกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหารและการเจรจาเขตแดนไทย-กัมพูชา” โดยมีการบรรยายข้อเท็จจริงที่เป็นการเสนอบันทึกการประชุมคณะกรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (joint boundary commission-jbc) จำนวน 3 ฉบับ ต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็น โดยระบุว่า “เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 54 กระทรวงการต่างประเทศได้มีหนังสือแจ้งให้กัมพูชาทราบถึงการมีผลใช้บังคับของบันทึกการประชุมฯทั้ง 3 ฉบับ เนื่องจากการดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายในประเทศไทยเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้มีหนังสือตอบกลับเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 54 รับทราบการแจ้งของไทยและแจ้งว่า สำหรับกัมพูชา บันทึกการประชุมฯทั้ง 3 ฉบับดังกล่าว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่สิ้นสุดการประชุมเมื่อวันที่ 7 - 8 เม.ย. 52 ” ซึ่งได้มีการแจกจ่ายเอกสารต่อประชาชน ต่อเนื่องมาถึงวันที่ 15 มี.ค. 55 จำเลยทั้ง 6 ได้นำเนื้อหาข้อความดังกล่าวไปโพสในเว็บไซต์ http://www.mfa.go.th/ ของจำเลยที่1 เพื่อเผยแพร่ให้แก่ประชาชนและต่างชาติรับทราบทั่วโลก โดยข้อความดังกล่าวนั้นเป็นความเท็จ ทำให้เกิดความสับสนว่าบันทึกทั้ง 3 ฉบับมีผลผูกพันตามกฎหมายกับประเทศไทยแล้ว ซึ่งความจริงยังไม่ได้มีผลบังคับ เพราะการดำเนินการตามกระบวนกฎหมายในประเทศไทยยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากบันทึกทั้ง 3 ฉบับยังไม่ได้ผ่านการลงมติรับรองโดยรัฐสภาไทย ตามขั้นตอนของกฎหมายและรัฐธรรมนูญศาลได้รับคำฟ้องไว้เพื่อนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ต่อไป

                นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้ดำเนินการล่ารายชื่อประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกรณีปราสาทพระวิหารได้แล้วประมาณ 7 แสนรายชื่อ ซึ่งยังขาดอีก 3 แสนรายชื่อ เพื่อชุมนุมเดินขบวนไปยื่นหนังสือ พร้อมรายชื่อประชาชนที่เห็นด้วยประมาณ 1 ล้านรายชื่อ ต่อประธานศาลฎีกา ในฐานะประธานสูงสุดของอำนาจตุลาการ และต่อผู้นำเหล่าทัพในฐานะกลไกด้านความมั่นคง ให้ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในการพิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตยความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต่อไป ซึ่งคาดว่าวันที่ 21 ม.ค.นี้จะสามารถรวบรวมรายชื่อครบ 1 ล้านรายชื่อ เมื่อครบแล้วจะมีการเปิดแถลง และจะดำเนินมาตรการเคลื่อนไหวประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามมาตรา 3 แห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อร่วมกันทำหน้าที่ภายใต้สิทธิเสรีภาพที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ

 

 

“รสนา – คำนูณ” เสนอรัฐบาลทำประชามติ ถามความยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลก เรื่องพระวิหาร

               น.ส.รสนา โตสิตระกูล สว.กทม. หารือว่า ตนขอให้รัฐบาลทำประชามติถามความเห็นของประชาชน ว่า จะยอมรับต่ออำนาจศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหารหรือไม่ หากศาลได้มีคำตัดสินแล้วทำให้มีการล้ำอธิปไตยของประเทศไทยเรื่องเขตแดน อย่างไรก็ตามขณะนี้มีคนออกมาระบุว่า กรณีที่มีผู้เสนอให้ไม่รับอำนาจศาล ทำให้กลายเป็นคนป่าเถื่อน แต่ข้อเท็จจริงแล้วถ้าศาลโลกตัดสินเกินอำนาจ และมีผลกระทบต่อพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ไทยต้องสงวนสิทธิ์ไม่รับการตัดสิน ส่วนที่ตนเสนอให้ทำประชามตินั้น เพื่อให้รัฐบาลมีหลักพิง

               ด้านนายคำนูณ สิทธิสมาน สว.สรรหา หารือในประเด็นเดียวกัน พร้อมสนับสนุนการทำประชามติถามประชาชนเรื่องปราสาทพระวิหาร อย่างไรก็ตามตรวจสอบเรื่องนี้ผ่านคณะกรรมาธิการฯ ได้ข้อมูลที่จะเสนอให้กับผู้แทนไทยที่จะไปแถลงด้วยวาจา ในวันที่ 17 และ 19 เม.ย. 56 ใน 4 ประเด็น คือ 1. ประเทศกัมพูชาใช้สิทธิ์โดยไม่สุจริต กรณีนี้ไม่ใช่การตีความตามธรรมนูญ มาตรา 60 แต่เป็นเสมือนการอุทรณ์คดีเก่า หรือ ขอแก้คำพิพากษาคดีเก่า 2. อาศัยหลักกฎหมายปิดปาก มาต่อสู้กับประเทศกัมพูชา เพราะไทยได้ปฏิบัติครบถ้วนตามคำพิพากษา 15 มิ.ย. 2505 โดยเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ของจอมพลสฤษดิ์ ธนรัตน์ เมื่อวันที่ 10 ก.ค. พ.ศ.2505 ซึ่งขณะนั้นประเทศกัมพูชาไม่ได้คัดค้าน 3.ศาลจะพิพากษาใหม่ได้ ต่อให้เป็นรัฐธรรมนูญ มาตรา 60 ก็เฉพาะในประเด็นแห่งคดี ไม่ใช่เรื่องเขตแดนหรือแผนที่และ 4.ผู้แทนไทยต้องสงวนสิทธิ์ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาที่กระทบต่ออธิปไตยของชาติ และในระยะเฉพาะหน้าจากนี้จนถึงมีคำพิพากษาและหลังมีคำพิพากษา

               “ในระหว่างนี้ไปจนถึงศาลมีคำพิพากษาและหลังมีคำพิพากษา รัฐบาลต้องไม่ตำหนิ หรือจำกัดการแสดงความเห็น ที่สุดหากมีคำพิพากษาที่มีผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตยขอให้จัดทำประชาชนถามประชาชนทั้งประเทศว่าจะปฏิบัติตามหรือไม่” นายคำนูณ กล่าว