
4.6ตร.กม.ไม่ใช่ของไทย
4.6 ตร.กม.ไม่ใช่ของไทย : ว่ายทวนอารมณ์ โดยใบตองแห้ง [email protected]
ขึ้นหัวให้ช็อกพวกคลั่งชาติเสียหน่อย เพราะขนาด รมว.ต่างประเทศบอกว่าคดีพระวิหาร “มีแต่เสมอกับแพ้” คนจำนวนหนึ่งยังดิ้นพราดๆ รับความจริงไม่ได้
ถามว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ไม่ใช่ของไทยแล้วเป็นของใคร ก็เป็นพื้นที่พิพาทไงครับ ยังไม่ใช่ทั้งของไทยของเขมร แต่ไทยก็อ้างว่าเป็นของไทย เขมรก็อ้างว่าเป็นของเขมร เขาจึงเรียกว่าพื้นที่ทับซ้อน
แต่เมื่อไหร่ที่เอาไปให้ศาลโลกตีความ ไทยก็มีแต่ “เสมอกับแพ้” เพราะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา พื้นที่ 4.6 ตร.กม. คือพื้นที่ซึ่งรอดหวุดหวิดมาจากคำตัดสินปี 2505
คำวินิจฉัยของศาลโลกมีตอนหนึ่งชี้ชัดว่า “ให้ถือเส้นเขตแดนตามแผนที่ของบริเวณพิพาท” ซึ่งก็คือแผนที่ 1 : 200,000 ที่ไทยไม่ยอมรับ
เพียงแต่เหตุที่ศาลไม่ตัดสินยก 4.6 ตร.กม.ให้เขมร ก็เพราะเขมรโง่เอง ยื่นคำร้องต่อศาลครั้งแรก เพียงขอให้ชี้ว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนกัมพูชา ต่อมาเขมรยื่นคำร้องเพิ่ม ขอให้ชี้เส้นเขตแดน แต่ศาลยกคำร้อง ไม่รับแล้ว
กระนั้นในการพิจารณาว่า “ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนอันอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาหรือไม่” ศาลก็ต้องวินิจฉัยประเด็นเส้นเขตแดนอยู่ดี ซึ่งศาลให้ถือเส้นเขตแดนตามแผนที่ แล้วตัดสินว่า “ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนอันอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา”
ซึ่งฟังอย่างไรก็ไม่ได้แปลว่าปราสาทเป็นของเขมร ผืนดินข้างใต้เป็นของไทย
คนไทยอาจเห็นว่าคำตัดสินนี้ไม่ยุติธรรม ก็ว่ากันไป แต่ประเด็นคือศาลตัดสินไปแล้ว ความหมายของคำตัดสินเป็นอย่างนี้ พูดจริงๆ ก็เป็นคำตัดสินที่คลุมเครือ ไม่สะเด็ดน้ำ (ถ้าสะเด็ด 4.6 ตร.กม.เสร็จไปแล้ว)
คณะรัฐมนตรีสมัยจอมพลสฤษดิ์เข้าใจดี จึงรีบใช้แท็กติกกั้นรั้วรอบปราสาทพระวิหาร ยกให้เขมรไป เหลือพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ไว้ ฝ่ายเขมรได้ตัวปราสาทก็พอใจ หลังจากนั้นบ้านเมืองเขมรก็วุ่นวายอยู่ในสงครามกลางเมืองจนไม่มาวอแวกับไทยอีก รัฐบาลไทยทุกยุคสมัยก็อาศัยความสัมพันธ์อันดี บ้านพี่เมืองน้อง (เขมรเป็นน้องวันยังค่ำ) ใช้การเจรจาทวิภาคี แก้ปัญหากันอย่างอะลุ้มอล่วย ไม่ให้เขมรร้องศาลโลก
จนรัฐบาลสมัคร เขมรเสนอปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดกโลก เขียนแผนที่ล้ำเข้ามาใน 4.6 ตร.กม. กระทรวงการต่างประเทศไม่ยอม ให้เอาขึ้นเฉพาะที่ ครม.ปี 2505 ล้อมรั้วให้ พอตกลงกันได้ ขีดแผนที่ใหม่ให้ชัดเจน นพดล ปัทมะ ก็ออกแถลงการณ์ร่วม สนับสนุนการขึ้นมรดกโลก พร้อมเสนอให้นำพื้นที่ 4.6 ตร.กม. มาพัฒนาร่วมกัน
เท่านั้นแหละ พวกคลั่งชาติ หรืออันที่จริงไม่ได้คลั่งชาติแต่ฉวยโอกาสทางการเมือง ก็กล่าวหาว่า “ขายชาติ” ยกแผ่นดินให้เขมร (เพราะผืนดินใต้ปราสาทเป็นของไทย) พอรัฐบาลสมัครล้ม รัฐบาลอภิสิทธิ์ตั้ง กษิต ภิรมย์ ผู้เคยด่าฮุน เซนเป็นกุ๊ย มาเป็น รมว.ต่างประเทศ ความสัมพันธ์ 2 ประเทศเลวร้ายลง จนเขมรยื่นศาลโลกตีความในที่สุด
หมูเข้าปากฮุน เซนไปแล้ว ถึงตอนนี้ไทยมีทางสู้ทางเดียวคืออ้างว่าศาลไม่มีอำนาจ เขมรยอมรับดินแดนที่ยกให้ไปแล้ว พูดอีกอย่างคือมีแต่เจ๊ากับเจ๊ง
ถ้าเจ๊า ก็ไม่ได้แปลว่า 4.6 ตร.กม.กลับมาเป็นของไทย แต่ยังเป็น “พื้นที่พิพาท” ซึ่งต่างฝ่ายต่างอ้างว่าเป็นของตัว คำถามคือสังคมไทยจะยอมรับได้ไหม กับการพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน ได้ประโยชน์ร่วมกัน โดยไม่ต้องมัวเถียงกันว่าพื้นที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียวก็ไม่ยอมแพ้
ถ้าเจ๊ง เสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ประเทศไทยจะไม่ยอมรับคำตัดสินศาลโลก ถอนตัวจากมรดกโลก ไม่ต้องคบหาชาวโลก ตามข้อเรียกร้องของพวกคลั่งชาติหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่ประชาชนทั้งประเทศต้องตัดสินใจ ไม่ใช่คนหยิบมือหนึ่งอ้างว่ารักชาติแต่ผู้เดียว
อันที่จริงคนไทยบางส่วนอาจมีสติ เห็นว่าพื้นที่แค่ 4.6 ตร.กม. ทำไมจะต้องรบราฆ่าฟันกัน แต่พวกคลั่งชาติก็เตรียมข้อมูลบิดเบือนไว้แล้ว อ้างว่าถ้ายอมรับแผนที่ 1 : 200,000 จะทำให้ไทยเสียดินแดน 1.5 ล้าน ตร.กม. เสียหลุมก๊าซในทะเล ฮุน เซนกับทักษิณเตรียมทำมาหากินไว้แล้ว โดยเอา ปตท.ไปรับสัมปทานก๊าซเขมร
บร๊ะเจ้า! ถ้ายังเชื่อนิยายเรื่อง ปตท. เป็นของทักษิณอยู่ ก็ไม่รู้จะขุดขึ้นจากโคลนตมได้ไง คงต้องปล่อยให้เป็นอาหารของเต่าปลา