ข่าว

มัจจุราชสีชมพู!ไล่ยิงสนั่นมอเตอร์เวย์

มัจจุราชสีชมพู!ไล่ยิงสนั่นมอเตอร์เวย์

16 ธ.ค. 2555

คลี่ปมปริศนา CSI THAILAND : แกะรอย...มัจจุราชสีชมพู ไล่ยิงนศ.สนั่นมอเตอร์เวย์ : โดย...ทีมข่าวรายงานพิเศษ

                         ใกล้รุ่งสางของวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 ผู้คนที่สัญจรผ่านถนนวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันออก (กาญจนาภิเษก บางนา-บางปะอิน) หรือที่เรียกกันติดปากว่าถนนสายมอเตอร์เวย์ ต้องอกสั่นขวัญแขวน เมื่อกลุ่มคนร้ายใช้อาวุธสงครามตามไล่กระหน่ำยิงรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า ซิตี้ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ฎส 4178 กรุงเทพมหานคร อย่างอุกอาจราวกับฉากหนึ่งในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด

                         หลังสิ้นเสียงปืนรถยนต์คันนี้ ได้เสียหลักพุ่งชนรั้วเหล็กกำแพงกั้นถนนก่อนจะหมุนไปขวางอยู่กลางถนน บริเวณหลัก กม. 31+900 ช่องทางด่วนขาเข้ามุ่งหน้าบางนา ตรงข้ามมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น หมู่ 11 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ส่วนคนร้ายหลังลั่นกระสุนปืนเสร็จได้หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

                         รถยนต์คันเกิดเหตุมีรอยถูกยิงเข้าที่กระจกหน้าและตัวถังรวมกันกว่า 12 นัด ในจำนวนนั้นได้พุ่งเข้าใส่แก้มขวาและหน้าอกของ นายปฏิญญา หรือโอ๊ด ปริมประภา อายุ 21 ปี นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย รวม 4 นัด ทำให้เสียชีวิตคาเบาะนั่งคนขับ

                         นอกจากนี้ กระสุนปืนยังถูกร่างของ น.ส.บุณญาพร หรือจี้ สู่คง อายุ 22 ปี นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ ปี 1 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เช่นเดียวกันเข้าที่ราวนมซ้าย 1 นัด หัวไหล่ 2 นัด อาการสาหัส เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่มไทรลำลูกกาต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลสายไหมช่วยยื้อชีวิต

                         หลังเกิดเหตุ พ.ต.ท.กรเสฏฐ์ วงศ์สีชิน พนักงานสอบสวน สภ.คูคต ประสาน พ.ต.อ.ปรีดี พงศ์เศรษญสันต์ รองผบก.สพฐ.1 (ตำแหน่งขณะนั้น) พร้อมทีมงานตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ โดยเบื้องต้นสันนิษฐานว่าอาวุธที่คนร้ายใช้ก่อเหตุน่าจะเป็นปืนเอ็ม 16 หรือไม่ก็ปืนลูกซอง ซึ่งตำรวจพิสูจน์หลักฐานได้เก็บพยานหลักฐานจากรถคันที่ถูกยิง พร้อมทั้งตรวจวิถีกระสุน และทำแผนที่เกิดเหตุไว้

                         ขณะที่พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำ น.ส.สุนิษา วงศ์มณีประกร อายุ 21 ปี เพื่อนนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกับผู้ตาย ให้ข้อมูลว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายและกลุ่มเพื่อนเดินทางกลับจากการชมการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ ซึ่งจัดขึ้นที่สนามแข่งรถบางกอกแดรก อเวนิว ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยรถของผู้ตายได้วิ่งนำหน้าออกมาก่อน เนื่องจากรถยนต์ของกลุ่มเพื่อนได้แวะเติมน้ำมัน ระหว่างนั้นผู้ให้ข้อมูลได้ติดต่อกับผู้บาดเจ็บตลอดเวลาผ่านการแชททางโทรศัพท์แบล็กเบอร์รี่ กระทั่งขาดการติดต่อไปกลุ่มเพื่อนจึงรีบติดตามกระทั่งมาพบว่าเพื่อนถูกยิงเสียชีวิตแล้ว

                         ข้อมูลที่ได้จากการสอบปากคำเพื่อนผู้ตาย ทำให้ตำรวจตีวงได้แคบลง โดยเชื่อว่าสาเหตุการสังหารอาจจะมาจากการขัดแย้งหรือเขม่นกันระหว่างกลุ่มผู้ตายกับกลุ่มคนร้ายที่เข้าไปชมการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบเช่นกัน หรือไม่ก็เกิดจากความไม่พอใจกันในการขับขี่รถยนต์บนท้องถนน

                         ต่อมา พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ บช.ภ.1 เร่งรัดสั่งการให้พนักงานสอบสวนร่วมกับตำรวจพิสูจน์หลักฐาน พร้อมทั้งตำรวจฝ่ายสืบสวน ปิดคดีนี้ให้ได้โดยเร็ว โดยเน้นย้ำให้พนักงานสอบสวนและตำรวจพิสูจน์หลักฐานช่วยกันหาปลอกกระสุนปืนที่อาจตกอยู่ในละแวกที่เกิดเหตุให้ได้ เพราะจะเป็นหลักฐานสำคัญที่จะช่วยสาวไปถึงตัวคนร้าย กระทั่งวันที่ 21 พฤษภาคม หลังเกิดเหตุ 7 วัน พ.ต.ท.กรเสฏฐ์ เดินเท้าหาปลอกกระสุน โดยเดินย้อนจากจุดเกิดเหตุไปทางด่านธัญบุรีประมาณ 1 กิโลเมตร พบปลอกกระสุนซึ่งถูกรถทับจนงอเสียรูป 1 ปลอก แต่ไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ จึงได้ส่งให้ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ศพฐ.1 ตรวจยืนยัน

                         ผลการตรวจสอบของตำรวจพิสูจน์หลักฐานพบว่า แม้ปลอกกระสุนจะถูกรถทับจนหักงอเสียรูป แต่ร่องรอยสำคัญบนปลอกกระสุนทั้งรอยจานท้าย รอยข้อรั้งปลอกกระสุน รวมถึงรอยเหล็กคัดปลอก ยังคงสภาพชัดเจน ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถยืนยันได้ว่าปลอกกระสุนที่พบน่าจะเป็นขนาด .223 (5.56 มม.) ซึ่งถูกยิงมาจากปืนกลเล็ก หรือที่เรียกว่าปืนเอฟเอ็น (Fabrique National Herstal Belgium) โดยกระสุนชนิดนี้มีขนาดเดียวกับปืนเอ็ม 16

                         โดยปลอกกระสุนที่พบเชื่อว่าน่าจะเชื่อมโยงกับคดีที่เกิดขึ้น เพราะมีขนาดตรงกับชิ้นส่วนลูกกระสุนปืนที่พบในศพผู้ตาย แต่ปลอกกระสุนเพียงปลอกเดียวยังไม่สามารถยืนยันความสัมพันธ์ทางคดีได้อย่างชัดเจน พ.ต.อ.ปรีดี จึงสั่งระดมทีมงาน ศพฐ.1 ประสานกับพนักงานสอบสวน สภ.คูคต ลงพื้นที่เดินเท้าหาปลอกกระสุนปืนอีกครั้งตลอดทั้งวันที่ 21 พฤษภาคม ปรากฏว่า พบปลอกกระสุนขนาด .223 เพิ่ม 1 ปลอก ตกอยู่ไม่ไกลจากจุดแรกที่พบปลอกกระสุนมากนัก

                         ภารกิจเดินเท้าหาปลอกกระสุนในวันนั้นต้องยุติลงในเวลาใกล้ค่ำ เพราะความมืดเป็นอุปสรรคในการทำงาน เนื่องจากบนถนนสายมอเตอร์เวย์มีการจราจรที่พลุกพล่าน อีกทั้งยวดยานพาหนะที่ใช้เส้นทางสายดังกล่าวใช้ความเร็วค่อนข้างสูง จนหวิดที่จะเกิดอุบัติเหตุต่อทีมงาน

                         แต่ทีมค้นหาปลอกกระสุนชุดนี้ไม่ลดละความพยายาม กลับมาปฏิบัติภารกิจอีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยคราวนี้ได้ประสานขอกำลังตำรวจทางหลวงมาช่วยในการอำนวยความสะดวกให้ ปรากฏว่าภารกิจคราวนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี เจ้าหน้าที่พบปลอกกระสุนขนาด .223 เพิ่มอีก 5 ปลอก ตกกระจัดกระจายอยู่บริเวณเกาะกลางถนน ห่างจากจุดที่รถยนต์ของผู้ตายจอดในวันเกิดเหตุไปทางด่านธัญบุรี 2 กิโลเมตร เมื่อนำไปตรวจพิสูจน์แล้วพบว่าปลอกกระสุนปืนชุดนี้ถูกยิงมาจากปืนกระบอกเดียวกันคือปืนเอฟเอ็น 

                         ข้อมูลที่ได้ถูกส่งให้ตำรวจชุดสืบสวนของ บก.ภ.จว.ปทุมธานี และทีมสืบสวนของ บช.ภ.1 นำไปใช้ตรวจสอบกับประวัติของคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนเอฟเอ็นสั่งหารเหยื่อ จนทราบว่าคนร้ายกลุ่มนี้คือ นายมานะ พูนโมมะดัน และอีก 3 คน คือ นายกิตติ หรือเดียร์ พรมชัยสงค์ นายเอ (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี และนายสมเกียรติ หนูรัตน์ ซึ่งได้ขออำนาจศาลจังหวัดธัญบุรีออกหมายจับทั้ง 4 คน

                         เวลาล่วงเลยเกือบครึ่งเดือนหลังจากเกิดเหตุ ตำรวจก็สามารถติดตามจับกุมคนร้ายกลุ่มนี้ได้ขณะหลบหนีอยู่ในพื้นที่ อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี โดย นายกิตติ รับสารภาพว่า ในวันเกิดเหตุผู้ที่ลงมือยิงผู้ตายคือ นายมานะ ส่วนตัวเองทำหน้าที่ขับรถให้ โดยสาเหตุที่ลงมือยิงเพราะเข้าใจว่าผู้ตายคือ นายฐากูร หรืออ้วน ซึ่งเป็นอริเก่า

                         "เป้าหมายสังหารคือนายอ้วน ซึ่งมีเรื่องโกรธเคืองกันมานานแล้ว วันเกิดเหตุมาพบกันที่สนามแข่งรถคลองห้าโดยบังเอิญ จึงวางแผนล้างแค้น หลังการแข่งขันจบได้ขับรถตามรถฮอนด้าของนายอ้วนออกมาจากสนามแข่ง โดยไม่ทราบว่านายอ้วนได้ย้ายไปนั่งรถอีกคัน โดยเปลี่ยนให้ผู้ตายซึ่งเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ขับรถฮอนด้าคันเกิดเหตุแทน เมื่อผมและพวกตามรถคันเกิดเหตุทันที่สะพานข้ามถนนลำลูกกาจึงใช้ปืนกลเล็กที่เตรียมมากระหน่ำยิงใส่จนหมดแม็ก มารู้ทีหลังว่ายิงผิดตัว" นายกิตติสารภาพต่อพนักงานสอบสวน

                         หลังถูกจับกุมผู้ต้องหาอ้างว่านำปืนกลเล็ก หรือปืนเอฟเอ็น ที่ใช้ยิงใส่ผู้ตายไปทิ้งในบึงน้ำซึ่งไม่ห่างจากจุดเกิดเหตุมากนัก ตำรวจชุดคลี่คลายคดีจึงประสานขอกำลังนักประดาน้ำจากกองบังคับการตำรวจน้ำมางมหา แต่ก็ไม่พบ พล.ต.ท.จรัมพร จึงแนะนำให้ตำรวจชุดคลี่คลายคดีสอบสวนผู้ต้องหาอีกครั้ง เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนสงครามยิงเหยื่อมักเสียดายอาวุธ ไม่น่าจะนำไปทิ้งน้ำ

                         ซึ่งเป็นอย่างที่ พล.ต.ท.จรัมพร คิด เพราะหลังจากสอบสวนขยายผลผู้ต้องหาอย่างละเอียดอีกครั้งก็ยอมรับว่านำอาวุธปืนไปฝากไว้กับคนรู้จักที่หมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งย่านคลองสามวา ตำรวจจึงติดตามไปตรวจยึดอาวุธปืนเอฟเอ็นเอาไว้ได้ และได้ส่งให้ตำรวจพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบยืนยัน

                         จากการตรวจสอบของตำรวจพิสูจน์หลักฐานพบว่า ปืนกระบอกนี้ถูกพ่นด้วยสีชมพูทับสีเดิม เลขหมายประจำปืนและเครื่องหมายตราโล่ บนตัวปืนถูกขูดลบ ยืนยันได้ว่าปืนกระบอกนี้เคยเป็นปืนที่ใช้ในราชการตำรวจ แต่ได้ปลดระวางแล้ว และเมื่อนำไปยิงทดสอบเพื่อเปรียบเทียบปลอกกระสุนปืนของกลางกับปลอกกระสุนปืนที่พบในละแวกที่เกิดเหตุ พบว่า มีร่องรอยสอดคล้องกัน แสดงให้เห็นว่าปลอกกระสุนปืนที่พบในละแวกที่เกิดเหตุถูกยิงออกจากปืนของกลางกระบอกนี้ด้วย

                         อาวุธปืนที่ยึดได้ ปลอกกระสุนปืนที่ได้จากที่เกิดเหตุ กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่มัดตัวผู้ต้องหากลุ่มนี้จนดิ้นไม่หลุด ขณะที่คำรับสารภาพของผู้ต้องหาทำให้ตำรวจปิดคดีได้โดยสมบูรณ์

                         แต่สิ่งหนึ่งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังคงหาคำตอบอยู่ คือปืนเอฟเอ็นกระบอกนี้ หลุดจากความครอบครองของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปตกอยู่ในมือของคนร้ายได้อย่างไร

 

 

--------------------

(คลี่ปมปริศนา CSI THAILAND : แกะรอย...มัจจุราชสีชมพู ไล่ยิงนศ.สนั่นมอเตอร์เวย์ : โดย...ทีมข่าวรายงานพิเศษ)